สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 29.2 เลือดตกยางออก (2)
“เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงหมุนกายวิ่งออกไปทันที
ฉู่ฉีเฟิงเดินไปที่ข้างเตียงแล้วกุมมือคนแซ่ฟาง เอ่ยถามว่า “มารดาข้าจะเป็นอะไรหรือไม่?”
“ยังดีอยู่!” เหยียนหลิงจวินตอบ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
นัยน์ตาของฉู่สวินหยางสว่างวาบ รีบไล่หมอกู่กับสาวใช้ออกไป เห็นว่าแม่นมฉางยังยืนร้อนรนอยู่ข้างๆ จึงสั่งว่า “แม่นมเจ้าก็ไปช่วยเจี๋ยหงต้มยาที่ครัวแล้วรีบยกมาเถอะ ท่านแม่อยู่ตรงนี้มีข้ากับท่านพี่คอยดูแล”
“ก็ได้เจ้าค่ะ!” แม่นมฉางลังเลพักหนึ่ง ก่อนจะยกชายกระโปรงแล้วเร่งฝีเท้าออกไป
รอจนคนออกไปหมดแล้ว ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงก็หันศีรษะไปมองเหยียนหลิงจวินอย่างรู้ใจกัน
“เจ้ามีอะไรจะพูด?” ฉู่ฉีเฟิงถามด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่อยากจะถามความเห็นของพวกท่านซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้อง ว่าพิษนี้พวกท่านอยากจะแก้อย่างไร?” เหยียนหลิงจวินถามด้วยน้ำเสียงเจือแววเอื่อยเฉื่อย
ยามวินาทีเป็นตาย คนปกติทั่วไปอาจจะรู้สึกไม่พอใจได้ง่ายๆ กับกิริยาเช่นนี้ แต่พอฉู่สวินหยางเห็นท่าทางของเขาก็วางใจได้ในทันที…
ในเมื่อเขามั่นใจ นั่นก็หมายความว่าคนแซ่ฟางต้องปลอดภัยแน่
ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองฉู่สวินหยาง
เมื่อครู่ระหว่างทางที่กลับมา เจิงจีได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ว่ามองมุมไหนก็ล้วนมีพิรุธเต็มไปหมด
“ต้องรอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนหรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงถาม
ฉู่สวินหยางเม้มปาก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเรียบง่ายค่อนไปทางซีดเซียว แล้วถามกลับว่า “ท่านพี่คิดอย่างไรเล่า?”
ฉู่ฉีเฟิงพลันหลุดหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดชายเสื้อลุกขึ้นยืน ก้าวพรวดพราดออกไปทันใดคล้ายกับสายลมที่โกรธเกรี้ยว
ไม่ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นจากอะไร แต่เพราะคนแซ่ฟางถูกปองร้ายหลังจากที่ไปพบหลัวฮองเฮาในวัง มองแค่จุดนี้…
จะให้ตัดหลัวฮองเฮาออกไปเลยก็คงจะไม่ได้
ดังนั้น…
ใยต้องดึงฉู่อี้อันมาเป็นคนกลางให้ลำบากใจเล่า?
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนเด็ดขาดและรวบรัด เห็นชัดว่าตั้งใจจะจบเรื่องนี้ก่อนที่ฉู่อี้อันจะกลับถึงจวน
ฉู่สวินหยางเม้มปากพลางมองคนแซ่ฟางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซับซ้อน พูดได้ไม่เต็มปากว่าไม่กังวลใจ แต่ความกังวลที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั่น สื่อถึงเรื่องของภาระหน้าที่และการสืบหาความจริงเสียมากกว่า
อันที่จริงเหยียนหลิงจวินคอยเฝ้ามองความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบายระหว่างนางกับคนแซ่ฟางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลานี้ยังฉงนไม่หาย ยิ่งเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนาง แม้แต่วาจาปลอบใจก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
ภายในเรือนไร้ซึ่งคนนอก เขายกมือลูบผมอ่อนนุ่มของนางด้วยท่าทีอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “อยากให้ข้าทำอะไรอีกไหม?”
ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา ตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่หยุดคิด “ข้าไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่!”
ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของหลัวฮองเฮาหรือไม่ แต่การที่สตรีผู้นั้นเรียกคนแซ่ฟางเข้าวังไปในวันนี้ย่อมหาได้มีเจตนาที่ดีแน่
การคงอยู่ของนางก็เหมือนก้อนหินที่ขวางทางเดิน ในเมื่อโอกาสส่งมาถึงหน้าประตูแล้ว อย่างไรย่อมต้องคว้าเอาไว้
“เข้าใจแล้ว” เหยียนหลิงจวินยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่เจือความจนใจอยู่มากกว่าครึ่ง
ฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะรับมืออย่างไรจริงๆ
เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ ฉู่สวินหยางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันไปมองคนแซ่ฟางที่อยู่บนเตียงอีกครั้ง เอ่ยว่า “ไปเถอะ ต่อจากนี้อาจมีเรื่องให้เจ้าช่วยอีก”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า เดินตามนางไป พอมาถึงหน้าประตูก็หยุดฝีเท้า หันไปสั่งเฉี่ยนลวี่ว่า “ชายารองทางนี้เจ้าดูแลให้ดี อาการของท่านตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ห้ามให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ ใต้เท้า!” เฉี่ยนลวี่ก้มหน้ารับคำด้วยความเคารพ สายตามองส่งทั้งคู่เดินจากไป
ขณะเดียวกันที่ลานด้านหน้า ฉู่ฉีเฟิงกำลังสอบสวนองครักษ์ทุกคนที่ติดตามคนแซ่ฟางเข้าไปในวังวันนี้ พร้อมทั้งตรวจค้นรถม้าทั้งนอกในอย่างละเอียดต่อหน้าคนทั้งหมด
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างกับฉู่สวินหยางก่อนหน้าสักเท่าไร นอกจากเทียบเชิญที่เพิ่มขึ้นมาสองฉบับ ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี
“ท่านชาย ระหว่างที่ชายารองเดินทางกลับ ข้าน้อยตามติดอยู่ตลอด ข้าน้อยเอาหัวเป็นประกันได้ว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลยขอรับ” จูหยวนซานรายงานด้วยน้ำเสียงมั่นใจและคับแค้น
ไม่เพียงแค่คนแซ่ฟางซึ่งเป็นเจ้านายแห่งวังบูรพาเท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดที่ถูกทำร้ายภายใต้การดูแลของเขา ก็ถือเป็นความอัปยศอย่างที่สุด
“ไม่มีข้อผิดพลาด? แล้วนี่มันคืออะไร?” ฉู่ฉีเฟิงค่อนเสียงแข็ง น้ำเสียงเจือโทสะ
“ก็…” จูหยวนซานใบ้กิน ไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ท่านชาย หม่อมฉันเอาชีวิตเป็นประกัน ระหว่างทางไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้นเลยขอรับ” องครักษ์คนอื่นๆ ช่วยกันสนับสนุนทันที
“ระหว่างทางไม่มีข้อผิดพลาด? ความหมายของพวกเจ้าก็คือท่านแม่นางเกิดเรื่องตอนที่อยู่ในวังอย่างนั้นสิ?”
“เอ่อ…” วาจาเช่นนี้ใครจะใจหาญพูดออกมาได้ ย้อนกลับไปคิดทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน จูหยวนซานจึงตอบว่า “ตอนที่ชายารองออกมาจากวังก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะขอรับ”
“ตอนที่ท่านแม่ออกมาจากวังดูปกติดี ระหว่างทางก็ราบรื่นไร้เรื่องราว? เช่นนั้นใครอธิบายให้ข้าฟังได้บ้างว่าท่านแม่ถูกพิษได้อย่างไร ทำไมถึงนอนไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่แบบนั้น?” ฉู่ฉีเฟิงตวาดเสียงเกรี้ยวกราด ตอนท้ายยังหัวเราะหยันกับตัวเอง
พวกองครักษ์แม้มีร้อยปากก็ไร้คำชี้แจง พลันเงียบเสียงกันหมด
ดวงตาของฉู่ฉีเฟิงนั้นคมกริบราวกับมีด ทั้งยังมีพลังกดดันรุนแรง จ้องมองทุกคนจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน ขณะที่สถานการณ์กำลังคุกรุ่น ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินก็เดินไล่กันมาจากเรือนทางด้านหลังพอดี
“ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้าง? พบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?” ฉู่สวินหยางถาม
สายตาเย็นเยียบของฉู่ฉีเฟิงกวาดผ่านทุกคนทีหนึ่ง จากนั้นก็ปรับอารมณ์และสีหน้าให้อ่อนลง เอ่ยอย่างกังวลใจว่า “ท่านแม่เป็นไงบ้าง?”
“ไม่ค่อยดี!” ฉู่สวินหยางตอบ ท่าทางอับจน “ฟังว่าพิษร้ายแรงนัก ใต้เท้าเหยียนหลิงสั่งยาให้แล้ว เจี๋ยหงกำลังไปต้มยา ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่า”
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงเข้มขึ้นอีกสามส่วน เงยหน้าหันไปมองเหยียนหลิงจวิน เอ่ยว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงรู้หรือไม่ว่าท่านแม่ถูกพิษชนิดใด?”
“เป็นพิษหลายชนิดผสมรวมกัน ส่วนประกอบของยาถอนพิษข้าทดสอบออกมาแล้ว แต่พิษในร่างชายารองกระจายไปทั่ว หากจะถอนคงไม่ง่ายนัก” เหยียนหลิงจวินตอบ “ข้าจะพยายามทำดีที่สุด!”
“มันผสมอยู่กับอาหารใช่หรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงถาม
“ย่อมเป็นไปได้!” เหยียนหลิงจวินกระตุกยิ้มตอบ
“เป็นไปไม่ได้!” จูหยวนซานโพล่งขึ้นมาอย่างโมโห “ท่านหญิงไม่ชอบทานอาหารว่าง บนรถก็มีเพียงน้ำชาเท่านั้น ทั้งชายารองก็ไม่ได้แตะต้องถ้วยน้ำชาเสียด้วยซ้ำ”
เหยียนหลิงจวินกระโดดขึ้นรถอย่างไม่อนาทรร้อนใจ แม้เห็นชัดว่าชุดถ้วยชาบนโต๊ะไม่มีร่องรอยการใช้งาน แต่เขาก็ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง สุดท้ายก็ยังต้องส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
————————————-