สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 29.5 เลือดตกยางออก (5)
จากคนทั้งหมด หลัวฮองเฮามีแรงจูงใจและมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะกระทำเรื่องเหล่านี้ นางกับคนแซ่ฟางไม่ถูกชะตากันมานาน บวกกับนางเพิ่งถือดีเสนอเรื่องงานมงคล นางกับคนแซ่ฟางคิดเห็นไม่ตรงกันจนต้องลงไม้ลงมือ ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยากจะสะบัดตัวให้หลุดจากเรื่องนี้ได้
ประโยคนี้ของเหยียนหลิงจวิน…
ฟังคล้ายว่ากำลังช่วยนางให้รอดตัว แต่ความจริง…
หัวคิ้วของฉู่สวินหยางขมวดนิดๆ ตวัดสายตาผ่านเขาทีหนึ่่งอย่างมีความหมาย
เหยียนหลิงจวินจับความรู้สึกได้อย่างว่องไว มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างเยือกเย็นมีนัยยะ…
หลัวฮองเฮาชั่วช้าก็จริง แต่คนต้นเรื่องกลับสามานย์เสียยิ่งกว่า!
ก่อนหน้านี้ยังนึกไม่ออกก็แล้วไป พอเกิดเรื่องขึ้นมาเขาก็นึกถึงเรื่องที่ฮูหยินรองแซ่หลัวกับหลัวอวี้ก่วนไปเข้าเฝ้าฮองเฮาหลัวที่ตำหนักโซ่วคังขึ้นมาได้!
เรื่องนี้…
แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของหลัวฮองเฮาเพียงคนเดียว!
ในเมื่อสกุลหลัวกล้าเล่นงานฉู่สวินหยาง ก็ควรจะเตรียมใจกับราคาที่ต้องจ่ายตั้งแต่แรก บัดนี้เรื่องราวมาถึงมือเขา มีหรือจะรอดไปโดยไม่เลือดตกยางออก?
ดวงตาของฉู่ฉีเฟิงสว่างวาบ คล้ายกระจ่างแก่ใจได้ในทันที สูดหายใจลึกเอ่ยว่า “เสด็จย่า แม้พระองค์กับท่านแม่จะไม่ลงรอยกันมานาน แต่พระองค์เป็นผู้ใหญ่ที่ฉีเฟิงให้ความเคารพนับถือ ฉีเฟิงไม่อยากเป็นคนอกตัญญูโดยการเคลือบแคลงสงสัยพระองค์ แต่ในฐานะบุตรชาย หลานยิ่งไม่อาจนิ่งเฉยดูดายมองมารดาแท้ๆ ของตัวเองถูกทำร้าย ดังเช่นที่เสด็จปู่ตรัสไปเมื่อครู่ ขอพระองค์ช่วยให้ความกระจ่างแก่เรื่องนี้ด้วยเถิด ขอเพียงพระองค์ยอมพูดออกมา หลานพร้อมจะเชื่อมันทั้งสิ้น!”
แสร้งกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม? แล้วไล่ต้อนนางทีละนิด?
หลัวฮองเฮารู้ดีว่านางย่อมตกเป็นหนังหน้าไฟ ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทำร้ายคนแซ่ฟาง ขณะที่จิตใจสับสนวุ่นวายอยู่นั้น จึงไม่ทันสังเกตว่าใครกำลังยุแยงสร้างความบาดหมาง หัวสมองหมุนแล่นเร็วจี๋ นางถึงได้กัดฟันเอ่ยความว่า
“เทียบเชิญนี้… มื่อวานคนแซ่เจียงนำเข้าวังมามอบให้หม่อมฉัน!”
นางกลัวว่าฮ่องเต้จะคิดว่าตนผลักความผิด ถึงรีบร้อนอธิบายความต่อด้วยสีหน้าเจ็บปวด “นางเล่าว่าช่วงนี้ไปมาหาสู่กับสวินหยางอยู่บ่อยๆ รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก ดังนั้นถึงได้นำเทียบเชิญสองฉบับนี้มาถามความคิดเห็นของหม่อมฉัน หม่อมฉันนึกว่านางคุยกับสวินหยางมาก่อนแล้ว จึงได้เรียกคนแซ่ฟางเข้าวังเพื่อหารือ!”
ชายารองสกุลหลัวเป็นหมากในกำมือนาง เมื่อถูกบีบคั้นถึงเพียงนี้ นางจึงได้แต่สละม้ารักษานายพลแล้ว…
ให้ชายารองหลัวแบกรับความผิดนี้ไป ก็ยังดีกว่าให้ฝ่าบาทสงสัยนาง!
“หลี่รุ่ยเสียง!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นเยียบ แล้วส่งสายตาให้กับเขา
หลี่รุ่ยเสียงเข้าใจทันที สาวเท้าจากไปพร้อมแส้หางม้าที่อยู่ในมือ
บรรยากาศภายในโถงพลันเงียบสงัด หลัวฮองเฮากลัวว่าเมื่อชายารองหลัวมาถึงแล้วจะไม่ยอมรับผิด รีบฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเวลา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นภรรยาของพระองค์มาหลายสิบปี หม่อมฉันเป็นคนเช่นไรพระองค์ยังไม่ชัดเจนหรือเพคะ? ไม่ว่าอย่างไรตัวหม่อมฉันก็ไม่มีทางทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้ คนแซ่ฟางนั่น…หม่อมฉันอาจจะไม่ชอบใจนาง แต่… แต่…หากหม่อมฉันคิดจะทำอะไรนาง มีหรือจะรอจนถึงวันนี้?”
ฉู่สวินหยางยิ้มหยันในใจ กระตุกมุมปากแล้วหันไปมองนาง ถามอย่างจริงจังว่า “เสด็จย่า เมื่อครู่พระองค์ตรัสว่าเรียกหาท่านแม่เพื่อมาปรึกษางานมงคลของหลาน? ท่านแม่นาง…รับปากแล้วหรือไม่?”
“นาง…” หลัวฮองเฮาอ้าปากพะงาบๆ เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องตอบความอย่างไรดี
ฉู่สวินหยางไม่สนใจนาง ทำทีถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อทันทีว่า “ท่านพ่อเคยพูดไว้แต่แรกแล้วว่า งานมงคลของพวกเราพี่น้องล้วนต้องให้ท่านพ่อพยักหน้าเห็นด้วย ที่ท่านแม่ไม่อาจทำตามความประสงค์ของพระองค์ หาใช่ว่านางคิดอยากต่อต้านนะเพคะ!”
ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะคลายโทสะได้หลายส่วน พลันทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
หัวใจของหลัวฮองเฮาเต้นรัว ดวงตาดั่งอาบไปด้วยพิษจ้องเขม็งไปที่นาง
ถ้าตอบว่าคนแซ่ฟางรับปากแล้ว? นิสัยอย่างคนแซ่ฟาง หากฉู่อี้อันลั่นวาจาไว้ก่อนหน้า นางหรือจะกล้าตัดสินใจเอาเอง? แต่ถ้าตอบว่านางไม่ได้ตกลง? มิใช่เป็นการประกาศแรงจูงใจและเหตุผลในการฆ่าคนของนางหรือ?
ว่าแต่เรื่องราวเป็นมาอย่างไรแน่? เหตุใดเทียบเชิญสองฉบับนั่นถึงมีปัญหาขึ้นมาได้?
แม้นางจะผลักความรับผิดชอบไปให้ชายารองหลัว แต่ก็รู้แก่ใจดี…
ชายารองหลัวไม่ใช่คนที่ส่งเทียบเชิญสองฉบับนั้นมา แต่เป็นนางที่ให้ข้ารับใช้ตระเตรียมไว้ หรือว่า…
เป็นคนในตำหนักนางที่มีปัญหา?
อารมณ์ของหลัวฮองเฮาพลันตีกันยุ่งเหยิง แค่คิดว่าพอชายารองหลัวมาถึงจะต้องโวยวายโหวกเหวกไม่จบไม่สิ้น แค่คิดก็แทบจะลมจับ
เวลาเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าและน่าทรมานใจ คอยกระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไปถึงค่อยได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนของหลี่รุ่ยเสียงกลับเข้ามา
พวกของฉู่สวินหยางสามคนไม่ได้ขยับตัว ทว่าฮ่องเต้กับหลัวฮองเฮาหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
ผู้ที่เข้ามาในห้องมีเพียงหลี่รุ่ยเสียงคนเดียว
ท่าทางเขาเคร่งเครียด สาวเท้าว่องไว ประสานมือทูลต่อฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมช้าไปหนึ่งก้าว คนแซ่เจียงนาง…ฆ่าตัวตายหนีความผิด แขวนคอไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กับหลัวฮองเฮาตะลึงงัน
พวกฉู่สวินหยางหันมามองหน้าแลกเปลี่ยนสายตากัน และเห็นความรู้สึกที่ไม่ต่างกันในดวงตาของอีกฝ่าย
หลัวฮองเฮารู้สึกเหมือนจมดิ่งลงในหมอกหนา มือเท้าไร้เรี่ยวแรง เย็นวาบไปทั้งกาย
ฉู่สวินหยางรำพึงเสียงเบาว่า “ชายารองหลัวเป็นคนทำร้ายท่านแม่จริงหรือนี่? แต่ว่านางกับท่านแม่ไม่รู้จักกันนี่นา!”
ไม่รู้จักกัน แล้วจะเอาความแค้นมาจากไหน?
แม้จะตายไปอย่างไร้หลักฐาน แต่ทุกอย่างยังคงชี้ชัดไปที่หลัวฮองเฮา
“ฝ่า…” หลัวฮองเฮาอ้าปากแก้ต่างอย่างไม่รู้ตัว
เห็นชัดว่าฮ่องเต้มีข้อสรุปในใจแล้ว ไม่รอให้นางพูดจบก็สั่งเสียงเย็นทันที “สกุลหลัวของเจ้าช่างไร้คุณธรรม เจ้าเป็นถึงมารดาของแผ่นดินแต่กลับไม่เคยกล่อมเกลาตนเอง ฉะนั้นนับแต่บัดนี้ไป ให้ปิดประตูสำนักผิดในตำหนักโซ่วคัง กิจในวังมอบให้ชิ่งเฟยกับฉีเต๋อเฟยดูแลไปก่อน หลี่รุ่ยเสียง ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป นับแต่นี้หากไม่มีคำสั่งจากข้า ไม่อนุญาตให้ฮองเฮาก้าวออกจากตำหนักโซ่วคังแม้แต่ก้าวเดียว ใครแอบช่วยนางปิดบังความผิดให้ประหารทันที!”
นี่คือการกักบริเวณกลายๆ แต่ความจริงแล้วก็เหมือนส่งนางเข้าตำหนักเย็น นี่คือจุดจบที่ดีที่สุดที่พระองค์จะให้สตรีผู้ครองคู่กันมานับหลายสิบปีได้
ภาพเบื้องหน้าของหลัวฮองเฮาพลันดับวูบ ร่างกายโอนเอนก่อนจะล้มลงบนพื้น สะบัดหน้าเอาเป็นเอาตาย
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันไม่เกี่ยวด้วย หม่อมฉันไม่เกี่ยวด้วยเลยจริงๆ!”
“ข้าไม่ได้บอกว่าเกี่ยวกับเจ้า!” ฮ่องเต้กระแทกเสียงเย็นชาใส่ “ส่งฮองเฮากลับตำหนัก!”
หลี่รุ่ยเสียงสะบัดมือ ขันทีสองคนก็เข้ามาพยุงนางทันที
หลัวฮองเฮาสะเทือนใจจนทั่วร่างอ่อนยวบ แม้คิดจะดิ้นรนให้ถึงที่สุด แต่เรี่ยวแรงสักนิดก็หามีไม่ ได้แต่ปล่อยให้คนหิ้วปีกออกไป
ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องไว้ชีวิตนาง นี่เป็นสิ่งที่พวกฉู่สวินหยางคาดการณ์ไว้แต่ต้น หลัวฮองเฮาอายุล่วงเลยมาปูนนี้แล้ว การกลับมาเป็นคนโปรดย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ และการถูกขังตลอดชีวิตที่เหลือ ก็เท่ากับกลายเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งแล้ว!
ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์นัก พอตรัสคำปลอบใจฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยางอย่างขอไปทีแล้ว ก็โบกพระหัตถ์สั่งให้คนออกไป
คนทั้งสามเดินตามกันออกมาจากห้องทรงอักษร ขณะที่จะออกจากวัง ก็เห็นเจี่ยงลิ่ววิ่งปรี่เข้ามาหา เอนหน้ากระซิบใส่ข้างหูฉู่ฉีเฟิงสองประโยค
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินหันมามองหน้ากัน พลันสังหรณ์ใจไม่ดี “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนแอบเข้าวังบูรพา บุกไปที่เรือนของท่านแม่” ฉู่ฉีเฟิงตอบ ทุกคำเบาหวิวล่องลอย แต่กลับทำให้ใจของคนฟังตกวูบหล่นพื้น
————————————