สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 3.4 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (4)
เย่าสุ่ยหลุบตาลง ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก
หลัวฮองเฮาอาการกำเริบ เอะอะอาละวาดไม่ยอมกินยา อายุปูนนี้แล้วยังเอาแต่ใจ เย่าสุ่ยรู้ดีอยู่แก่ใจว่ายามนี้ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์นัก เขาจะกล้าพูดได้อย่างไร
ถึงฮ่องเต้จะอารมณ์ไม่ดีเช่นใด แต่อย่างไรเสียหลัวฮองเฮาก็เป็นชายาที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาสิบกว่าปี เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยันโต๊ะลุกขึ้น
“กระหม่อมช่วยประคองพ่ะย่ะค่ะ!” เย่าสุ่ยรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปพยุงมือของเขา
“ไปเตรียมราชรถเถอะ!” ฮ่องเต้ปัดมือเขาออกเป็นนัยว่าไม่ต้อง
เย่าสุ่ยได้รับคำสั่งให้เตรียมราชรถ จึงไปเรียกราชรถมา แล้วคนทั้งกลุ่มก็ไปยังวังโซ่วคังอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อเย่าสุ่ยพยุงฮ่องเต้เข้าประตูตำหนักไปก็ได้กลิ่นหยูกยาฉุนเต็มจมูก
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
ยามนั้นเหล่าแม่นมทั้งหลายในตำหนักก็คุกเข่าลงกับพื้น หลัวฮองเฮาก็นั่งพิงอยู่บนเตียงใหญ่ด้านในด้วยสภาพอิดโรยเต็มทน ราวกับเส้นผมได้กลายเป็นสีขาวภายในชั่วราตรี ท่าทีดูหมดอาลัยตายอยากนัก
ฉู่หลิงอวิ้นยกถาดยาเข้ามานั่งบนเก้าอี้ปักข้างๆ เกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “เสด็จย่า ผู้ตายมิอาจฟื้นคืน ร่างกายของท่านสำคัญนัก เหตุใดท่านต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย หมอหลวงกำชับให้ดื่มยานี้ตอนยังร้อนจะดีกว่า”
หลัวฮองเฮาสีหน้ามืดสลัว จ้องมองพู่สีทองที่ห้อยอยู่มุมเตียงราวกำลังจ้องศัตรูที่โกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน โดยไม่ได้สนใจฟังคำพูดของนางแม้แต่น้อย
แม่นมเหลียงยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฮ่องเต้เข้ามาจากด้านนอก จึงตกอกตกใจยกใหญ่
รีบคุกเข่าลงทันที “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
ทุกคนตะลึงงัน และรีบหันกลับมาทำความเคารพไปตามๆ กัน
ฉู่หลิงอวิ้นก็รีบลุกขึ้นยืนคำนับเช่นกัน
เมื่อฮ่องเต้กวาดสายตาไปเห็นกลุ่มคนหนาตาคุกเข่าอยู่ภายในตำหนักก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดีไปใหญ่ “คุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไมกัน? ฮองเฮาประชวรเหตุใดไม่ไปเฝ้าด้านนอก?”
“ฝ่าบาททรงมาพอดีเลยเพคะ หมอหลวงบอกว่าฮองเฮาพระทัยเคร่งเครียด ยามนี้ก็เสวยโอสถมิลงอีก พวกหม่อมฉันเกลี้ยกล่อมมานานสองนานแล้วเพคะ” แม่นมเหลียงเอ่ย พอเหลือบไปเห็นหลัวฮองเฮาที่นั่งสีหน้าเคียดแค้นอยู่บนเตียงก็อดน้ำตาตกไม่ได้ “ฝ่าบาททรงช่วยหม่อมฉันเกลี้ยกล่อมฮองเฮาเถิด หากฝืนต่อไปเช่นนี้ ร่างกายคงแย่แน่เพคะ!”
พอพูดจบก็ส่งสายตาให้นางกำนัลที่คุกเข่ารอรับใช้ในตำหนักออกไปให้หมด
หลัวฮองเฮานั่งพิงหมอนหนุนใบหนึ่งไม่ขยับ นั่งแข็งเป็นท่อนไม้อยู่อย่างนั้น แม้ฮ่องเต้มาก็ไม่มีท่าทีจะสนใจ
ฮ่องเต้เดินเข้าไป เย่าสุ่ยจึงให้คนยกเก้าอี้มาให้ฮ่องเต้นั่งข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่
ตอนนี้หลัวฮองเฮาถึงได้ค่อยๆ เหลือบมองขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาทมาแล้วหรือ…”
“เหตุใดจึงไม่ทานยา เจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะทรมานร่างกายตัวเองอีกหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสหน้านิ่ง
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเช่นนั้นจึงยกถาดยามาด้านหน้า ตักตัวยาขึ้นมาหนึ่งช้อนชาและจ่อไปที่ปากหลัวฮองเฮา
หลัวฮองเฮาที่อารมณ์เย็นเยือกอยู่นั้น จู่ๆ ก็หุนหันพลันแล่นขึ้นมาในทันใด ผลักมือนางออกเต็มแรง ฉู่หลิงอวิ้นไม่ทันระวังจึงโดนยาถ้วยนั้นหกรดชุดไปเต็มๆ แล้วก็รีบคุกเข่ารับผิดอย่างตื่นตระหนก
ฮองเต้หน้าเคร่ง “นี่เจ้าทำอะไร?”
น้ำตาที่เอ่ออยู่ตรงขอบตาของหลัวฮองเฮาก็ไหลรินลงมาทันที พลางกวักมือเรียกแม่นมเหลียงมาพยุงนางลงจากเตียง พอถึงพื้นก็รีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาท เรื่องหลัวอี้จะทรงจัดการเช่นไรเพคะ ในเมื่อวันนี้ทรงมาถึงที่นี่แล้วก็บอกหม่อมฉันมาเถิด ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมักจะบอกว่ารอให้พวกเขากลับมาเมืองหลวงแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ตอนนี้เด็กนั่นไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาทบอกหม่อมฉันมาตรงๆ เถิดเพคะ!”
การตายของหลัวอี้ ทำให้แผนโจมตีจวนหลัวกั๋วกงล้มไม่เป็นท่า อีกทั้งหลัวกั๋วกงและซื่อจื่อก็ไม่ค่อยลงรอยกับนาง และยังคอยว่าร้ายลับหลังนางตลอด ตระกูลทางฝั่งมารดาไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของนางเช่นนี้ เห็นทีตำแหน่งฮองเฮาคงมิได้นั่งครองดีๆ เป็นแน่
หลัวฮองเฮาอารมณ์ขุ่นมัวเต็มทน แม้จะต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่อาจซ่อนต่อไปได้ จนถามขึ้นมาเสียงดัง
ฮ่องเต้มองหน้าตาพิลึกพิลั่นของฮองเฮาได้สักพักก็พลอยอารมณ์ร้อนขึ้นมา “จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องของราชสำนัก เจ้าเป็นสตรีคอยดูแลเรื่องวังหลังก็พอแล้ว อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถามอีก”
“สำหรับฝ่าบาทถือเป็นเรื่องบ้านเมือง แต่สำหรับหม่อมฉันนั้นถือเป็นการสูญเสียหลานชาย” หลัวฮองเฮายังคงรุกหน้าต่อ แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นแสนสาหัส “ขนาดหม่อมฉันยังไม่ตาย พวกเขายังกล้าลงมือฆ่าอย่างเปิดเผย ฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ตระกูลหลัวได้ แล้วท่านจะครองใจเหล่าปวงชนได้เยี่ยงไร? แล้ววันหลังจะให้หม่อมฉันสู้หน้าคนในตระกูลของหม่อมฉันอย่างไรเพคะ?”
หลัวฮองเฮาถามเสียงหนักแน่น เลือดลมเดือดพร่าน เห็นได้ชัดว่านางกำลังกดดันฮ่องเต้อยู่
หากเป็นแต่ก่อนคงจะไม่เป็นอะไร แต่ช่วงนี้เดิมฮ่องเต้เองก็มีเรื่องที่คิดไม่ตกน่าเวียนศีรษะของตนมากพออยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงยิ้มเย้ยหยัน “เจ้ายังจะกล้าดีมาต่อรองกับข้าอีกหรือ? หากมิใช่เพราะหลัวอี้ทะเยอทะยานเองจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้หรือ? เมืองฉู่เตรียมรบ ก่อความเสียหายแก่ทหารของข้าเกือบสามพันนาย ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย ยามนี้เจ้ายังจะมีหน้ามาต่อรองกับข้าอีกหรือ?”
ฮ่องเต้ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหขึ้นมา และยกมือชี้ไปทางเมืองฉู่อย่างเหลืออด
ตอนแรกหลัวฮองเฮาก็อยากจะใช้การตายของหลัวอี้เป็นข้ออ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโมโหขึ้นมา แล้วยังพูดจนนางรับมือไม่ทัน นางจึงนั่งอึ้งบนพื้นพรมไปชั่วขณะ ลืมกระทั่งหลั่งน้ำตา และแค่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ฝ่าบาทตรัสอะไรกัน? เด็กผู้นั้นโดนคนทำร้าย…”
“นั่นก็เป็นเพราะเขาหาเรื่องเอง!” ฮ่องเต้ไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยขัดเสียงฉุนขึ้นมา สีหน้าเกิดบันดาลโทสะขึ้นอีกเป็นทวีคูณ “ตอนนั้นเจ้าขอให้ข้าให้โอกาสเขาไปฝึกวิทยายุทธ และยังรับปากว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง แล้วเป็นอย่างไรเล่า? เขาเกือบจะพังเมืองทั้งเมืองของข้า! ถึงตอนนี้ข้าจะยังมิได้ตามสืบข้อผิดพลาดของเขา แต่เจ้ากลับหน้าไม่อายแม้แต่นิดเดียว เป็นถึงฮองเฮาของแคว้นกลับมาโวยวายดั่งแม่หญิงโรงน้ำชาเช่นนี้? คนแซ่หลัว ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่รักใคร่กันแต่ปางก่อนจึงจะไม่ตามสืบเอาความ แล้วเจ้าคิดดีแล้วหรือว่าจะตัดความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาด้วยเรื่องเช่นนี้?”
หลัวฮองเฮาตะลึงอึ้งกิมกี่ อ้าปากค้าง สีหน้าซีดเผือดไม่รู้ควรพูดอย่างไร
ฮ่องเต้พูดค่อนข้างจริงจัง และไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้ความเป็นธรรมแก่หลัวอี้ แต่ยังเกือบจะฉุดนางลงไปด้วย?
ในใจนางพลันเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันใด หลัวฮองเฮาใจสั่นวาบและเอ่ยเสียงแข็งทื่อ “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้เหลือบมองสีหน้าเศร้าโศกของนางแวบหนึ่ง สุดท้ายก็เห็นแก่รักเก่าของเราทั้งสอง จึงเอ่ยทิ้งท้ายไว้ “เห็นแก่ที่ตัวได้ตายไปแล้ว ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความอีก แต่เจ้าก็จัดการไปตามที่เหมาะสมเถิด!”
เขาเอ่ยพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วแล้ว
“ฝ่าบาท…” เมื่อหลัวฮองเฮาได้สติกลับคืนมาก็ตะโกนเสียงเศร้าและจะถลาเข้าไปคว้าชายชุดของเขา
ทว่าฮ่องเต้กลับก้าวเดินออกไปอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจแม้แต่น้อย
หลัวฮองเฮาคว้าน้ำเหลวและล้มลงไปกับพื้นทันที มองตามบุรุษชุดเหลืองทองที่ค่อยๆ ลับตาหายเข้าไปในแสงอาทิตย์อย่างหมดอาลัย ในใจตกใจกลัวมิใช่น้อย กลัวจนไม่อาจฟื้นสติกลับคืนได้ในทันที
ฉู่หลิงอวิ้นกับแม่นมเหลียงเดินเข้าไปช่วยพยุงนาง พลางเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้าสลด “เสด็จย่า ต้องรักษาพระวรกายไว้นะเพคะ เสด็จปู่ท่านอารมณ์ไม่ดีเรื่องท่านชายจ่างซุนอยู่แล้ว เสด็จย่าก็อย่าถือสาเลย”
ฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาอยู่มาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไร้ซึ่งความสัมพันธ์รักใคร่ตั้งนานแล้ว แต่ทั้งสองล้วนเคารพซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยทะเลาะกันมาก่อนเลย ทว่าครั้งนี้ฮ่องเต้กลับหักหน้าหลัวฮองเฮาจนแตกเป็นเสี่ยงๆเช่นนี้ หลัวฮองเฮาก็ยิ่งกระวนกระวายเข้าไปกันใหญ่
หลัวฮองเฮากลืนน้ำลายไปสองอึกใหญ่ สติยังคงล่องลอยไม่กลับมา
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นดังนั้น นัยน์ตาก็เหมือนแฝงด้วยอะไรบางอย่างและหันไปพูดกับแม่นมเหลียง “แม่นมคอยเฝ้าอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักข้างๆ จะได้เรียกพวกเขาให้ยกยาเข้ามาใหม่ทีเดียวเลย”
“ท่านหญิงไปเถิด!” แม่นมเหลียงพยักหน้า
ฉู่หลิงอวิ้นประคองชุดตนและเดินไปทางด้านหน้า พอเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ เหมือนคิดอะไรออกจึงหันกลับเข้ามาในตำหนักหรูหราอลังการกว้างขวางหลังนี้อีกครั้ง “ช่วงหลายวันนี้จวนกั๋วกงต้องจัดงานศพ แม่นางหลัวอวี่ก่วนก็น่าจะไม่ว่างเข้าวังแล้ว รอเวลานั้นมาถึง หากเสด็จย่ารักคุณชายรองหลัวจริงๆ การดูแลทายาทของเขาให้มากหน่อยก็นับว่าเป็นน้ำใจเช่นกัน แต่เสด็จย่าต้องดูแลพระวรกายของตนเองให้ดี อย่าฝืนกายตัวเองอีกเลย เฮ้อ!”
นางพูดจบก็ถอนหายใจทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกไป
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่นางพูด ในใจของหลัวฮองเฮาก็สะท้านสั่นไหว
ส่วนแม่นมเหลียงที่อยู่ข้างๆ ก็เหงื่อตกทั้งตัว นางอ้าปากค้างอย่างลังเล แม้ในใจจะรุ่มร้อนเท่าใดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ความปรารถนาที่หลัวฮองเฮาฝากฝังไว้ที่หลัวอี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ท่านหญิงอันเล่อนี่เติมน้ำมันใส่ไฟชัดๆ ยังจะไปส่งเสริมให้ลูกคนโตของหลัวอี้ขึ้นรับตำแหน่งอีก ยื้อยุดกันไปมาเช่นนี้ เมื่อใดเรื่องจะจบกัน?
แม้แม่นมเหลียงจะดูเรื่องนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี
ฉู่หลิงอวิ้นออกมาจากตำหนักก็สั่งจื่อซวี่ให้ไปต้มยาที่ห้องครัวอีก ส่วนตนก็ไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักข้างๆ จนกระทั่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงจะเดินออกไปทางห้องครัว…
ทว่าพอนางเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเหยียนหลิงจวินพาผู้ช่วยหมอเดินออกมาจากตำหนักของหลัวฮองเฮา
————————————-