สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 32.3 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กลิ่นน้ำส้มลอยฟุ้ง (3)
ด้านนอกวังหลวง
หลัวซืออวี่และหลัวกวี่ก่วนออกจากวังด้วยกัน เมื่อมาถึงประตูใหญ่ก็พบว่าหลัวเถิงได้มารออยู่ก่อนแล้ว
“พี่ชายท่านมาได้อย่างไร?” หลัวซืออวี่ยิ้มบางๆ รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
“เรื่องภายในครอบครัวจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงมารับพวกเจ้า” หลัวเถิงกล่าว ส่งยิ้มกลับมาให้นางอย่างรู้ใจกัน จากนั้นจึงตวัดสายตาไปมองหลัวอวี่ก่วนซึ่งตามมาด้านหลัง
“พี่รอง” หลัวอวี่ก่วนเดินขึ้นมาข้างหน้า ยิ้มออกมาอย่างกล้ำกลืนฝืนทน แต่เมื่อดูไปแล้วกลับเห็นว่าจิตใจนางนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อืม” หลัวเถิงเกิดความสงสัยในใจ แต่มิได้แสดงสีหน้าออกมาให้เห็น เพียงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “ขึ้นรถม้าเถิด ที่นี่คนมากอย่าขวางทางผู้อื่นเลย”
หลัวอวี่ก่วนหลุบตามองต่ำแล้วขึ้นรถม้า นางหันกลับไปมองทีหนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เซียงเฉ่าเล่า? นางมิใช่ตามหลังออกด้วยกันหรอกหรือ?”
“อ้อ” หลัวอวี่ก่วนแม้แต่คิดก็ไม่ได้หยุดคิดกลับตอบออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ขณะที่ออกมานั้นคนมาก เหมือนจะถูกชนจนแยกกัน ไม่ต้องสนใจนางหรอกเจ้าค่ะ ช้าสักเล็กน้อยนางกลับไปเอง”
นางตอบเร็วเกินไป และเข้าใจว่ามันสมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว
“เช่นนั้นพวกเรากลับกันก่อนเถิด” หลัวซืออวี่กล่าวขึ้นไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดพร้อมกับก้าวขึ้นรถ
บนรถม้า แม้หลัวอวี่ก่วนจะพยายามที่จะควบคุมสีหน้าของให้เหมือนในยามปกติ แต่อย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องในใจ
หลัวซืออวี่มิได้ไปจี้ถามอันใด ยังคงก้มหน้าก้มตาปักผ้าของตนอย่างเงียบๆ
ด้านนอก หลัวเถิงที่ขี่ม้าตามมาส่งนั้นส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับองครักษ์ผู้ติดตาม ตนเองก็จึงค่อยๆ แยกตัวออกไปต่างหากโดยไร้สุ้มเสียง เขามองตามจนกระทั่งรถม้าจากไปไกลแล้ว ก็ดึงบังเหียนม้าย้อนกลับไปทางเดิม
หลัวซืออวี่และหลัวอวี่ก่วนถือว่าเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ออกมาจากวังหลวง เขาควบม้าอย่างรวดเร็วกลับไปถึงใต้ต้นไม้เพื่อรอซุ่มดู
ปรากฏว่าไม่นานนักก็เห็นเซียงเฉ่าเดินเหลียวซ้ายแลขวาออกมาจากวังหลวง ราวกับว่ากำลังมองใครสักคนหนึ่งในกลุ่มคนที่เดินออกมา
ประตูวังหลวงมีคนเดินออกมาไม่ขาดสาย สาวใช้นางนั้นกวาดตาดูอยู่สักครู่หนึ่งเมื่อไม่พบคนผู้ใด นางจึงยกชายกระโปรงขึ้นสูง แล้วเดินไปทางด้านขวาซึ่งมีถนนค่อนข้างเปลี่ยวอยู่เส้นหนึ่งด้วยความรีบเร่ง
หลัวเถิงมองตามและเม้มปาก ค่อยๆ ควบม้าตามนางไป
ในเวลาเดียวกันนี้เองฉู่สวินหยางเพิ่งจะออกมาจากวังหลวงเช่นกัน ระยะนี้นางได้ให้คนคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของหลัวอวี่ก่วนเอาไว้ ระหว่างทางที่เดินออกมาจากวังหลวง ได้พบเห็นเซียงเฉ่ามีท่าทางลับๆ ล่อๆ ดังนั้นจึงคอยจับตามองอยู่หลายส่วน
เมื่อเห็นหลัวเถิงตามไป ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็แย่งแส้ม้าจากจูหยวนซาน พร้อมกับพลิกตัวขึ้นม้าและสั่งการว่า “กลับไปบอกพี่ชายว่า ข้ามีธุระเล็กน้อย จะกลับไปช้าสักหน่อย”
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียงก็ควบม้าจากไป
รถม้าและม้าที่เข้าวังในวันนี้มีจำนวนมากมาย ถนนทุกสายมีผู้คนสัญจรไปมาไม่น้อย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีทั้งคน รถม้า ม้าที่เดินไปเดินมา ดังนั้นเซียงเฉ่าจึงเดินไปอย่างสบายใจ ไม่ได้ระวังหรือใส่ใจผู้ที่เดินอยู่ข้างๆ และสวนทางไป
หลัวเถิงควบม้าจับตาดูตามหลังนางไปอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งสุดถนนสายนี้จึงเห็นเซียงเฉ่าเรียกรถม้าที่ผ่านมาหนึ่งคัน เรียกให้คนขับรถม้าไปยังทิศทางของเมืองเฉิงหนาน
ขณะที่เขากำลังตัดสินใจจะตามต่อไปนั้น เบื้องหน้าปรากฏชายแขนเสื้อสีเขียวเข้มสะบัดผ่านไป เสียงที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มดังกังวานลอยมา “หลัวซื่อจื่อ ช่างบังเอิญจริงๆ?”
สายตาที่มองผ่านแสงแดดยามบ่าย ชายแขนเสื้อของหญิงผู้นั้นเป็นกุ๊นไหมทองที่สะท้อนแสงอย่างละมุนละไม นางกำแส้ม้าอยู่ในมือ ยิ่งขับให้นิ้วมือทั้งห้าของนางขาวดุจหยก ให้ความรู้สึกงดงามอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนน้ำเสียงของฉู่สวินหยางนั้นหลัวเสียงจำได้ดี ได้ยินแล้วหัวใจพลันกระตุกวูบ เมื่อมองขึ้นมาจึงประสานเข้ากับดวงตาสดใสที่มีรอยยิ้มของนางอย่างเหมาะเจาะ
“ท่านหญิงสวินหยาง” หลัวเถิงพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ ให้นาง ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกายกาววับกว่าปกติ
ฉู่สวินหยางยืดหลังตรง กล่าวว่า “นี่ไม่เส้นทางที่จะกลับจวนหลัวกั๋วกงมิใช่หรือ? ไฉนซื่อจื่อจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
ไม่ต้องคิดหลัวเสียงก็รู้ในทันที ว่านางสะกดรอยตามหลังเขามาตั้งแต่ออกจากวัง ดังนั้นจุดประสงค์ของนางไม่ต้องกล่าวออกมาเขาย่อมรู้ดี
เมื่อเห็นว่ารถม้าที่เซียงเฉ่านั่งไปนั้นเกือบจะลับสายตาไป หลัวเถิงกระวนกระวายใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า กลับเปลี่ยนสีหน้าท่าทางและอารมณ์ไปอีกอย่างหนึ่งและพูดว่า “จุดประสงค์ไม่ต่างกับที่ท่านหญิงมาพบข้าที่นี่หรอกกระมัง”
ทั้งสองต่างเป็นคนฉลาด และฉู่สวินหยางชอบคบค้ากับคนฉลาดด้วยกัน ดังนั้นจึงเพียงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้ม
รอยยิ้มบางๆ ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมมารยาทที่หญิงสาวชนชั้นสูงของซีเยว่ล้วนฝึกฝนมาอย่างดี หญิงสาวเหล่านั้นอ่อนโยนสุภาพ แต่จะให้เหมือนรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และใจกว้างเหมือนฉู่สวินหยางนั้นหามีไม่
หลัวเสียงเห็นแล้วอารมณ์ดียิ่ง คิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหญิงกำลังจะกลับวังบูรพาใช่หรือไม่?”
“อืม” ฉู่สวินหยางพยักหน้า
“ข้ากลับบ้านต้องผ่านละแวกนั้น ในเมื่อบังเอิญเช่นนี้ มิสู้ข้าขอเชิญท่านหญิงดื่มน้ำชาสักถ้วยดีหรือไม่?” หลัวเสียงกล่าว
ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นคำเชื้อเชิญที่มากด้วยไมตรี แต่ตนเป็นสาเหตุทำให้เขาเสียแผน ฉู่สวินหยางรู้สึกผิดในใจจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “ในเมื่อซื่อจื่อเชิญแล้ว เปิ่นกงไม่ให้เกียรติคงไม่ได้ ข้างหน้ามีหอน้ำชา ชาปี้หลัวชุนของที่นั่นขึ้นชื่อมาก เช่นนั้นเราไปลองดื่มชาด้วยกันเถิด”
ในใจของหลัวเสียงนั้นมีเต็มไปด้วยความคาดหวัง เมื่อเอ่ยปากออกไปนั้นเขาได้เตรียมใจไว้แล้วว่านางอาจจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นนางรับปากอย่างง่ายๆ จึงรู้สึกเหนือคาดอย่างยิ่ง ในใจนั้นยินดีอย่างอธิบายไม่ได้
—————————————