สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 32.4 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กลิ่นน้ำส้มลอยฟุ้ง (4)
“เชิญท่านหญิง” หลัวเถิงดึงม้าหลบไปด้านข้าง
ทั้งสองต่างควบม้าตามหลังกันไปตามทางเล็กๆ ข้างหน้า
นิสัยของฉู่สวินหยางนั้นไม่เหมือนผู้อื่น ทั้งซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา
หลัวเถิงรู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วเขาไม่มีแรงกดดันใดใด ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจโดยไม่ต้องพูดจา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า “ท่านหญิง ขออภัยที่ข้าต้องล่วงเกิน ในเมื่อท่านขวางทางของข้า เช่นนั้นควรจะบอกเหตุผลแก่ข้าใช่หรือไม่?”
“แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไฉนเลยจะมีค่าคู่ควรให้ท่านซึ่งเป็นซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงต้องไปจับตาดูด้วยตนเองเล่า?” ฉู่สวินหยางยืดไหล่ขึ้น มองเขากึ่งๆ หยอกล้อกึ่งจริงจังอยู่หลายส่วน “เรื่องที่ซื่อจื่ออย่างท่านไม่วางใจคือเรื่องภายในจวนของท่าน เรื่องของคนนอกครอบครัวนั้นก็ปล่อยไปเถิด บางครั้งการเป็นผู้ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ นั้นไม่ต้องลงทุนลงแรง และสบายกว่าการต้องไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นมากมายนัก”
หลัวเถิงลอบหายใจเข้าลึกและฝืนเงยหน้ามองนางด้วยสายตาประหลาดใจยิ่ง
ท่านหญิงสวินหยางผู้นี้ จะพูดจาตรงเกินไปหรือไม่?
“ราวกับท่านหญิงจะรู้เรื่องภายในครอบครัวสกุลหลัวของพวกเราไม่น้อยเลย?” เมื่อแน่ใจแล้วหลัวเถิงจึงเอ่ยถาม
“ไม่ถึงขั้นนั้น” ฉู่สวินหยางหัวเราะและมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ยังคงมีท่าทีไม่แยแสสิ่งใดดังเดิม ค่อยๆ เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “เพียงแต่ข้าเป็นคนใจคอค่อนข้างคับแคบ หากมีผู้ใดล่วงเกินข้าแล้ว ข้าจะไม่มีวันปล่อยผ่านไป”
เมื่อหลัวเถิงได้ยินคำพูดนี้เขาถึงกับตกตะลึง จากนั้นกลับทนไม่ไหวหัวเราะร่าออกมา
เพื่อให้การสวรรคตของหลัวฮองเฮาเป็นไปอย่างสมพระเกียรติฐานะ ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อนางอย่างใจกว้าง ไม่เพียง แต่ไม่เปิดเผยเรื่องราวของคนแซ่ฟาง แม้กระทั่งเรื่องที่นางยื่นมือเข้ามาสอดในเรื่องการแต่งงานของฉู่สวินหยาง ก็ยังไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง
แต่หลัวเถิงในฐานะของซื่อจื่อแห่งจวนหลัวกั๋วกงนั้น เขากลับรู้เรื่องนี้ดี
เรื่องนี้ไม่ใช่ด้วยเหตุที่เขาและหลัวเสียงนั้นไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน กลับเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ชัดเจนเสียเหลือเกิน ว่าคนอย่างหลัวเสียงไม่มีค่าคู่ควรแม้แต่นิ้วมือของฉู่สวินหยางเพียงนิ้วเดียว ฮูหยินรองหลัวสองแม่ลูกนั้นคิดจะเปิดแผ่นฟ้าเสียแล้ว กลับกล้าหาญมีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าแค่เพียงคิดก็เป็นเรื่องขำขัน
และท่านหญิงสวินหยางมีนิสัยใจกว้างเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่น่าเอ็นดู จริงๆ
หลัวเถิงพูดเก่ง สุภาพและใจกว้าง บวกกับฉู่สวินหยางมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาตั้งแต่การพบกันครั้งแรก ทั้งสองจึงนับได้ว่าคุยกันถูกคอได้อย่างสนุกสนาน
พูดคุยหัวเราะกันไปตลอดทาง กลับไม่พบช่องว่างหรือความขัดแย้ง
เมื่อออกจากตรอกเล็กๆ จึงเดินไปข้างหน้าต่ออีกระยะหนึ่ง ฉู่สวินหยางใช้มือที่ถือแส้อยู่ชี้ไปที่มุมถนนด้านตรงข้ามที่มีป้ายชื่อร้านแขวนอยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ร้านนั่นไงเล่า”
หลัวเถิงมองไปยังทิศทางที่นางชี้นิ้ว กำลังจะเอ่ยวาจา กลับมีเสียงดังกังวานลอยมาด้านหลัง “ท่านหญิง”
ฉู่สวินหยางเหลียวกลับไป มองเห็นเพียงเชินหลาน เด็กถือล่วมยากำลังก้าวเข้ามา
“เชินหลาน?” ฉู่สวินหยางประหลาดใจยิ่ง “ไฉนเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า?”
“กำลังจะไปวังบูรพาเพื่อดูอาการของพระชายารองแซ่ฟางพะยะค่ะ” เชินหลานตอบ ใบหน้าของเด็กน้อยกอปรด้วยดวงตาคู่กลมโตที่มักจะยิ้มจนตาหยีอยู่เสมอ มองไปที่หลัวเสียงซึ่งอยู่บนหลังม้าเสมอไหล่กับฉู่สวินหยางปราดหนึ่ง“นายท่านของข้าอยู่ที่นั่น ท่านหญิงอีกสักครู่พวกเราไปด้วยกันหรือไม่พะยะค่ะ?”
รถม้าคันนั้นเป็นคันที่เหยียนหลิงจวินใช้อยู่เป็นประจำจริงๆ ตอนนี้กำลังหยุดอยู่หน้าร้านขายยาร้านหนึ่งไม่ไกลออกไปนัก แต่เหยียนหลิงจวินกลับไม่ได้โผล่หน้าออกมา
ฉู่สวินหยางกระพริบตาปริบๆ “พวกเจ้าออกมาจากวังหลวงเช่นกันหรือ?”
เพราะต้องการสะกดรอยตามหลัวเถิงนางจึงออกมา หากว่าเหยียนหลิงจวินต้องการไปวังบูรพาจริงๆ อย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้
นี่คงไม่ใช่…
คนผู้นั้นได้สะกดรอยตามนางมาตั้งแต่ออกจากวังหลวงเช่นกันหรือ?
“เช้านี้พระวรกายฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก จึงเรียกตัวนายท่านของข้าเข้าวังเป็นกรณีพิเศษพะยะค่ะ” หลานเซินตอบ
หากเหยียนหลิงจวินเพียงเข้าไปตรวจดูอาการฝ่าบาท หากจะไปก็ควรจะไปตั้งนานแล้ว แต่นี่กลับเห็นได้ชัดว่าเขารั้งรอเวลา
ฉู่สวินหยางยังคงไม่ได้พยักหน้าตอบรับ ทว่าทางด้านเหยียนหลิงจวินนั้นทนรอไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็เปิดประตูรถม้าและโผล่ศีรษะออกมา บนใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม ดูสุภาพอ่อนโยนอย่างเห็นอยู่เป็นนิจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ากำลังจะไปดูพระอาการของพระชายารองแซ่ฟาง เช่นนั้นส่งท่านหญิงกลับไปด้วยก็แล้วกัน”
ระหว่างพูดจาทำราวกับว่าไม่รู้เรื่องที่ฉู่สวินหยางได้นัดกับอีกคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างหลัวเถิงและเหยียนหลิงจวินนั้นไม่ถือว่าคุ้นเคยกันนัก แต่คนทั้งคู่ต่างอยู่ในราชสำนักและเป็นบุคคลในตำแหน่งขุนนาง ระหว่างทั้งสองจึงมีการสนทนากันบ้าง
แม้ว่าเหยียนหลิงจวินจะยังคงยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นหลอกลวงเสียจนคนที่เห็นยังรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
หลัวเถิงมองฉู่สวินหยางที่อยู่ข้างกายเขาครั้งหนึ่ง พลันในใจก็เข้าใจอะไรขึ้นมา….
ใต้เท้าเหยียนหลิงจวินขุนนางใหม่ผู้นี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านหญิงสวินหยางไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อันใด แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีผู้ใดจับได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ ดังนั้นจึงเป็นเพียงเรื่องระหว่าง ‘สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี’ ที่พูดคุยกันและมีคนมาพบเห็นเท่านั้น
ยามนี้ได้เห็นกับตาของตนเอง หลัวเถิงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นไม่ จึงเลิกคิ้ว
เหยียนหลิงจวินผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกัน? นี่เป็นเพียงคำพูดและความคิดของเขาเพียงฝ่ายเดียว นี่มาแสดงตนเช่นนี้นับเป็นอะไรได้?
“ใต้เท้าเหยียนหลิง มิใช่รีบร้อนไปตรวจอาการคนไข้หรอกหรือ? ข้ากำลังส่งท่านหญิงกลับไปเช่นกัน” หลัวเถิงพูดขึ้นลอยๆ พลางยิ้ม มองไปที่เขา “เช่นนั้นคงไม่รบกวนให้ใต้เท้าเหยียนหลิงจวินต้องมาสละเวลาแล้ว”
“เช่นนั้นรึ?” ดวงตาของเหยียนหลิงจวินสาดประกายวาบขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้มีผู้ใดสังเกตเห็นก็กลับสู่ปกติ
เขาลงจากรถม้า เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าม้าของฉู่สวินหยาง เงยหน้าขึ้นมองนางซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า
ฉู่สวินหยางถูกเขาจ้องมองจึงขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ เพียงแต่พูดออกมาเรียบๆ เพียงสองคำ “ลงมา”
ด้วยเหตุที่อยู่ข้างถนนเขาจึงไม่ได้ยื่นมือออกไป เพียงแต่คำพูดสองคำนี้กลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจและปฏิเสธ เหมือนกับคืนที่เขาพบนางปีนกำแพงครอบครัวสกุลซู เขายืนอยู่ในตรอกพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
มีความเผด็จการอยู่หลายส่วน ทั้งยังมีความเอาใจใส่และรักเอ็นดูอยู่หลายส่วนเช่นกัน
น้ำเสียงเช่นนี้ หลัวเสียงฟังแล้วช่างบาดหูยิ่งนัก
ฉู่สวินหยางเองนั้นก็รู้สึกว่าตนนั้นไม่มีหน้าพบผู้คน จึงได้แต่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่เคลื่อนไหวใดๆ
————————————-