สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 32.5 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กลิ่นน้ำส้มลอยฟุ้ง (5)
เหยียนหลิงจวินใช้หางตามองไปที่หลัวเถิงครั้งหนึ่งทำเหมือนจะพูดอันใด แต่กลับเดินเข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ท่านหญิงเป็นสตรีจากสกุลใหญ่ แม้ว่าระหว่างชนชั้นสูงด้วยกันจะไม่ได้มีกฎเกณฑ์อันใดมากมาย แต่ขี่ม้าบนถนนนั้นไม่เหมาะสมนัก รถม้าของผู้น้อยอยู่ที่นี่ ท่านหญิงเปลี่ยนไปนั่งรถม้าเถิด”
พูดจาเช่นนี้ทั้งละเอียดรอบคอบ ซ้ำยังมีชั้นเชิง ทำให้คำพูดของหลัวเถิงที่มารออยู่ที่ปากกลับยับยั้งเอาไว้
ฉู่สวินหยางรับรู้ได้ว่าเขาไม่พอใจนัก แต่นางไม่พอใจยิ่งกว่าที่ถูกบังคับให้ไปนั่งรถม้าของเขา จึงได้แต่อิดๆ ออดๆ ไม่ยอมเคลื่อนไหวใดใด
หลัวเถิงมองคนทั้งสองแวบหนึ่ง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ธรรมเนียมประเพณีชายหญิงแตกต่าง รถม้าของใต้เท้าเหยียนหลิงมีเพียงคันเดียว หากจะนั่งรถม้าร่วมกับท่านหญิงเกรงว่าจะยิ่งไม่เหมาะสม ในเมื่อท่านหญิงโปรดปรานที่จะขี่ม้า เช่นนั้นก็ให้ข้าส่งนางกลับไปก็เหมือนกัน”
คราแรกที่เหยียนหลิงจวินเห็นทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันนั้นเขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ยามนี้ได้ฟังคำพูดท้าทายจากหลัวเถิงทำให้เขารู้สึกโกรธยิ่งขึ้น
แต่ยิ่งโกรธรอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับยิ่งน่ามองขึ้นอีก เขาเดินเข้าไปอีกก้าวและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้ายกรถม้าของข้าให้ท่านหญิงใช้เถิด ข้าและหลัวซื่อจื่อจะได้พูดคุยกันสักหน่อย”
สองคนนี้พูดจาพิลึกพิลั่น ฉู่สวินหยางฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมลงให้ใคร นางก็ไม่อยากจะมีเรื่องกันกลางถนน ขณะที่เหยียนหลิงจวินกำลังจะบีบบังคับนางด้วยรอยยิ้มเช่นนั้นอีกครั้ง นางก็พลิกตัวลงจากม้าอย่างไม่ค่อยยินยอมอย่างยิ่ง
“ท่านหญิง” หลัวเถิงหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง คิ้วขมวดแน่น
รอยยิ้มที่มุมปากของเหยียนหลิงจวินปรากฏให้เห็นความหยิ่งผยองของผู้ชนะอยู่หลายส่วน เมื่อเอ่ยปากพูดอีกครั้งน้ำเสียงก็อ่อนโยนลงอีกหลายส่วนเช่นกัน แต่เขาพูดกับฉู่สวินหยางเท่านั้น “บนรถม้ามีชาที่ข้าเพิ่งต้มเสร็จ ดื่มตอนนี้กำลังพอดี”
“อืม” ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ
หลัวเถิงรู้สึกอัดอั้นตันใจ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก
เมื่อสักครู่เขาและฉู่สวินหยางได้นัดกันไว้แล้ว ว่าจะไปดื่มชาด้วยกัน ยามนี้ถูกเหยียนหลิงจวินขัดขวางก็ช่างเถิด ซ้ำยังเอาคำพูดนี้มาทิ่มแทงเขาอีก
หลัวเถิงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพและละเอียดรอบคอบเสมอ แต่ก็ยังมีความเฉียบคมอยู่บ้าง
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันในสายตาของเหยียนหลิงจวิน เขาจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พูดพลางยิ้มว่า “ท่านหญิง…ในเมื่อวันนี้ไม่ว่างแล้ว เอาไว้วันหลังเมื่อมีเวลา ข้าค่อยส่งเทียบเชิญไปให้ท่าน ถึงตอนนั้นค่อยมาหอน้ำชาแห่งนี้ชิมชาปี้หลัวชุนที่ท่านหญิงพูดถึงเมื่อสักครู่ดีหรือไม่?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยียนหลิงจวินพลันแข็งค้าง
ทว่าฉู่สวินหยางกลับไม่ได้คิดอันใด ริมฝีปากโค้งขึ้นตอบว่า “อืม วันไหนว่างค่อยว่ากันอีกทีเถิด”
พูดจบก็หันกายกลับไปขึ้นรถม้าทันที
ทางด้านนี้ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็จ้องมองอีกฝ่าย ฟาดฟันกันด้วยสายตา ยืนอยู่นิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง
หลัวเถิงหัวเราะ “ใต้เท้าเหยียนหลิงจวินไม่ใช่ต้องไปวังบูรพาตรวจอาการหรอกหรือ ไฉนยามนี้กลับไม่รีบเร่งเสียแล้ว?”
“ช่วยไม่ได้ หากไม่ใช่เป็นเพราะหลัวซื่อจื่อขวางทางเอาไว้ ก็น่าจะถึงตั้งนานแล้ว” เหยียนหลิงจวินกล่าวจบก็ยิ้มเช่นกัน
ถือสายบังเหียนม้าของฉู่สวินหยางตัวนั้น ยกมือขึ้นลูบไล้ขนม้า แล้วพูดขึ้นราวกับไม่ได้ตั้งใจว่า “ม้าตัวนี้ไม่ใช่ม้าที่นางใช้เป็นประจำ แต่นิสัยอ่อนโยนลงไม่น้อย”
ปรากฏว่าเมื่อพูดจบ สีหน้าของหลัวเถิงก็แข็งค้างเปลี่ยนไปอีก
เหยียนหลิงจวินจึงเลิกคิ้วแล้วยิ้มอย่างมีความสุข หวดแส้ม้าในมือออกเดินนำไปก่อน
หลัวเถิงส่งเสียงฮึในลำคอครั้งหนึ่ง จึงเงื้อมือหวดแส้ม้าตามมา
“ข้าไปวังบูรพาเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ที่จริงไม่ต้องรบกวนหลัวซื่อจื่อ” เหยียนหลิงจวินใช้หางตามองเขาครั้งหนึ่ง
หลัวเถิงรู้นิสัยของเหยียนหลิงจวินดี จึงส่งรอยยิ้มกลับไปให้เขาอย่างไม่ได้เกรงกลัวอันใด
“ข้ามีนัดกับท่านหญิงสวินหยาง จึงส่งท่านหญิงกลับไปเพราะเป็นทางผ่าน ใต้เท้าเหยียนหลิงอย่าได้คิดมาก”
ทั้งสองคนผลัดกันพูดคนละหนึ่งประโยค ต่างใช้วาจาเป็นคมหอกดาบปะทะกัน รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้ากับคำพูดที่พูดใส่กันนั้นทิ่มแทงกันไปมา จนแทบจะเห็นสะเก็ดไฟเลยทีเดียว วาจาทิ่มแทงเสียจนบรรยากาศรอบข้างเยือกเย็น
ชายหนุ่มทั้งสองยังคงรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้ พูดจาขบขันไปตลอดทาง
บนรถม้า ฉู่สวินหยางฟุบลงไปเล่นถ้วยน้ำชาบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย
ถ้าไม่ใช่ความจำเป็นในกรณีพิเศษแล้วละก็ นางเบื่อหน่ายและรำคาญความรู้สึกในการนั่งรถม้าเป็นที่สุด
นางโน้มตัวไปที่หน้าต่างมองออกไป คนทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าพูดคุยกัน ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี
เชินหลานมองสีหน้านางจากด้านข้าง เม้มปากแอบหัวเราะ “ท่านหญิง นายท่านของข้าตามท่านมาตลอดทาง”
“ไฉนเขาตามข้ามาเล่า?” ฉู่สวินหยางถามไปเช่นนั้นมิได้ใส่ใจนัก ในความคิดของนางนั้น การที่นางมาหาหลัวเถิงเพราะมีเรื่องสำคัญ เหยียนหลิงจวินมาตามติดนางเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
เซินหลานอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อคิดถึงอารมณ์โกรธขึ้งของเหยียนหลิงจวินแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้
ซูหลินนัดกับหลัวอวี่ก่วนเอาไว้ว่าหลังจากออกวังแล้วค่อยไปเจอกันเป็นการส่วนตัว จึงให้คนไปบอกพ่อบ้านในจวนของตนแล้วว่าให้ส่งแขกปิดประตูจวน แต่ไม่คิดว่าเมื่อไปถึงจะได้พบเพียงเซียงเฉ่า บอกว่าเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลัวอวี่ก่วนปลีกตัวออกมาไม่ได้
เขารู้สึกเบื่อหน่าย จึงกลับจวนไป
“ซื่อจื่อกลับมาแล้ว?” พ่อบ้านรู้สึกแปลกใจ ออกมารับเขาด้วยตนเองและจูงม้าให้เขา
“อืม” ซูหลินส่งแส้ม้าให้เขา “อีกสักครู่ข้ายังมีงานเลี้ยงคืนนี้ สั่งห้องครัวว่าไม่ต้องเตรียมอาหาร”
“ขอรับ” พ่อบ้านรับคำ สั่งให้ข้ารับใช้จูงม้ากลับคอกและเอาหญ้าให้กิน
ซูหลินเดินไปยังเรือนหลัง ตรงไปยังห้องหนังสือของตน
เขากับจวนอ๋องหนานเหอนั้นไม่ถูกกัน บวกกับฉู่หลิงซิ่วนั้นเป็นสตรีที่เขาไม่อยากแต่งเข้ามา หญิงผู้นี้เป็นหนามยอกอกในใจของเขานานแล้ว ดังนั้นในหลายเดือนมานี้ เขาจึงพยายามไม่พบเจอนางเพื่อจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ เขาสั่งกักบริเวณของฉู่หลิงซิ่วให้อยู่แต่ในเรือนของนาง โดยบอกกับผู้คนภายนอกว่านางป่วย ทั้งสองฝ่ายเมื่อเจอหน้ากัน ก็ไม่แม้แต่จะทักทาย
ฉู่หลิงซิ่วนั้นก็นับว่ารู้เวลาเป็นอย่างยิ่ง ในยามปกตินั้นนางยังออกมาเดินเล่นในสวนบ้าง แต่ถ้าหากซูหลินอยู่ในจวน นางจะปิดประตูอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาพบผู้คน
ดังนั้นระหว่างทั้งสองคนจึงกล่าวได้ว่าอยู่กันอย่างสงบ
ถูกหลัวอวี่ก่วนผิดนัด วันนี้ซูหลินจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี เขาเดินอย่างรีบเร่งไปยังเรือนหลัง เมื่อเดินผ่านด้านนอกเรือนของฉู่หลิงซิ่วเขาไม่ได้ใส่ใจอันใด แต่สายตาของเขาที่มองไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลับเห็นสาวใช้เดินกลับไปกลับมาอย่างทำอันใดไม่ถูก
เขาเกิดความสงสัย ราวกับมีภูตผีมาดลใจให้เขาเดินเข้าไปหา “เจ้ากำลังทำอันใด?”
สาวใช้นางนั้นกำลังลุกลี้ลุกลนมิได้รู้สึกตัวว่าเขาเข้ามาแล้ว จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าจึงตกตะลึงร้องเสียงต่ำว่า “ซื่อจื่อ…” จากนั้นแข้งขาก็อ่อนแรงคุกเข่าลงบนพื้นในนาทีถัดมา
————————————–