สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 33.4 ถูกสวมเขาอีกแล้ว! (4)
“ข้ามั่นใจ ไม่เป็นไร!” ซูหลินเอ่ยและกอดนางให้แน่นขึ้นอีก “อีกเดี๋ยวเจ้ากลับไปเตรียมตัวก่อน ถึงเวลานั้นก็รอข่าวจากข้า!”
เมื่อก่อนเขาไม่มีสิทธิต่อรองต่อหน้าฮ่องเต้ ทว่าครั้งนี้…
ฉู่หลิงซิ่วสวมเขาให้เขาขนาดนี้ ราชสำนักจะไร้เหตุผลถึงขั้นใช้กำลังกักตัวเขาไว้ที่เมืองหลวงอีกเชียวหรือ?
พูดถึงก็ถือว่าผู้หญิงคนนั้นได้ช่วยเขาเอาไว้
แต่ว่า…
ก็ยังต้องเหลือค่าตอบแทนที่ทรยศเขาไว้ให้คนของจวนอ๋องหนานเหออย่างทบต้นทบดอก
นัยน์ตาของซูหลินทอประกายเย็นเยียบและมืดมน ดูน่ากลัวเป็นพิเศษท่ามกลางความมืดยามราตรี พอเห็นสีท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว ทั้งสองคนก็สวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย แล้วให้คนขับรถม้าพากลับไป
ส่งหลัวอวี่ก่วนกลับไปก่อนแล้ว ซูหลินถึงกลับมาที่จวนของตนเอง
“ซื่อจื่อกลับมาแล้ว!” พ่อบ้านเข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อม
“อืม! ในจวนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่?” ซูหลินเอ่ยถาม พลางสาวเท้าเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดฝีเท้า เขาไปตรวจดูเรือนของฉู่หลิงซิ่ว พอแน่ใจว่าประตูและหน้าต่างข้างในไม่มีร่องรอยถูกทำลายใดใด ก็เอ่ยกับพ่อบ้านว่า “ส่งสาส์นไปจวนอ๋องหนานเหอเดี๋ยวนี้ ว่าเชิญท่านอ๋องหนานเหอกับพระชายามาด้วยกันอย่างด่วนที่สุด หากพวกเขาไม่มาก็ให้พวกเขารับผิดชอบเองละกัน!”
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิงซิ่วกันแน่ ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น แต่พ่อบ้านก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน เขาจึงเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ตอนนี้หรือขอรับ? แต่เวลานี้ฟ้าเพิ่งจะสว่าง จะไม่…”
“ไปทำตามที่ข้าสั่ง!” ซูหลินเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
พ่อบ้านก็ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาเช่นกัน เห็นสีหน้าเขาแล้วก็รีบไปจัดการตามที่สั่ง
พอสาส์นส่งถึงจวนอ๋องหนานเหอ ฉู่อี้หมินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที “อะไรนะ? นี่เขาขู่ข้าหรือ?”
ถึงตอนนี้เขาจะลาออกมาอยู่บ้านแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นอ๋องที่ทรงอิทธิพลในอาณาจักรนี้ คนแซ่อื่นและเด็กกว่าอย่างซูหลินสามหาวมาสั่งการแบบนี้ก็ต้องถือว่าไม่ไว้หน้าเขา
คนแซ่เจิ้งชายาของอ๋องหนานเหอก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน นางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอ๋องของข้าได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท ช่วงนี้ศึกษาพระไตรปิฎกอยู่ในจวนตลอด ซูซื่อจื่อมีเรื่องอะไรมาคุยกันที่นี่ไม่ได้หรือ? ทำไมต้องเชิญให้ท่านอ๋องไปด้วยตนเองให้ได้ด้วย?”
“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ข้าเพียงแต่ถ่ายทอดคำพูดของซื่อจื่อเท่านั้น” พ่อบ้านของจวนซูตอบ
ระหว่างที่พูดนั้นฉู่ฉีเหยียนที่เปลี่ยนเป็นชุดเข้าเฝ้าเรียบร้อยแล้วเดินมาจากในเรือนพอดี
เขากวาดสายตามองพ่อบ้านอย่างเฉยชา
ท่าทางของเขาน่าเกรงขามยิ่งกว่าฉู่อี้หมินมากนัก พ่อบ้านอยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่กล้าเมินเฉย จึงถ่ายทอดคำพูดของซูหลินให้ฟังอีกรอบ
“จวนอ๋องฉางซุ่นของเขามีอำนาจมากก็จริง แต่อย่าลืมไปว่าถ้าว่ากันตามฐานะแล้วท่านอ๋องของพวกเราเป็นพ่อตาของเขา จะเอาแต่สั่งให้ท่านอ๋องไปพบเขาหรือ?” คนแซ่เจิ้งส่งเสียงเย็นออกมา ท่าทางดูถูกเหยียดหยามถึงที่สุด
สายตาของฉู่ฉีเหยียนเรียบเฉย ท่าทางสงบเยือกเย็นมาก เขาแค่มองคนนั้นว่า “พูดมาให้ชัดเจน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เดิมทีพ่อบ้านก็ไม่กล้าถ่ายทอดคำพูดมั่วซั่วอยู่แล้ว เวลานี้เขาใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่าถึงได้เตือนอย่างคลุมเครือว่า “เหมือนจะ…เกี่ยวกับชายาของซื่อจื่อขอรับ!”
“หืม?” คนแซ่เจิ้งเลิกคิ้วและรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาในชั่วพริบตา นางส่งสายตาถามไถ่ไปหาฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้านิ่งเฉย เขาคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยกับฉู่อี้หมินว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าต้องรีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท การเข้าเฝ้ารอบเช้าไม่สามารถโอ้เอ้ได้ ในเมื่อเป็นเรื่องของหลิงซิ่ว ท่านก็ไปกับท่านแม่เถอะ ในเมื่อซูซื่อจื่อให้พ่อบ้านมาเชิญก็แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ”
ฉู่อี้หมินเหมือนถูกบังคับให้ไตร่ตรอง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่อนุญาตให้เขาออกไป
เพียงแต่เขากลับรู้สึกไม่อยากไปจวนซู
ฉู่ฉีเหยียนพูดจบก็ไม่สนว่าท้ายที่สุดเขาจะตกลงหรือไม่ เขาเพียงเลิกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วเดินออกไป
“ท่านอ๋อง…ท่านว่าเอ่อ…” พ่อบ้านของตระกูลซูมีสีหน้าลำบากใจ
ฉู่อี้หมินว้าวุ่นใจ เขาลังเลไปอีกชั่วครู่ก็ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
คนแซ่เจิ้งไม่กล้าทำเฉยจึงรีบตามไปเช่นกัน
สองสามีภรรยาต่างมาถึงตระกูลซูด้วยสีหน้าไม่ดีนัก พ่อบ้านนำทางพวกเขามาถึงห้องโถงใหญ่ แต่ก็ไม่เจอซูหลิน
ฉู่อี้หมินอดที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาไม่ได้เอ่ย “ซูหลินล่ะ? เขาเชิญพวกเรามาถึงจวนแล้ว ยังต้องให้พวกเรารอเขามาที่นี่อีกงั้นหรือ?”
“ท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญซื่อจื่อมาเดี๋ยวนี้ขอรับ” พ่อบ้านยิ้มขออภัย เขากำลังจะเดินไปทางด้านหลังไกลๆ แต่ผ้าม่านข้างหลังก็ถูกเลิกขึ้น ซูหลินเดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างเชื่องช้า
สีหน้าเขาเย็นยะเยือก มุมปากเหยียดยิ้มดูถูก และกวาดสายตามองฉู่อี้หมินสามีภรรยาอย่างไม่สนใจไยดีเอ่ย “ท่านอ๋องกับพระชายามาแล้วหรือ? ให้ข้ารอนานเสียจริง!”
เขาเรียกตนเองแบบนี้ล้ำเส้นอย่างชัดเจน
คนแซ่เจิ้งขมวดคิ้วแล้วมองฉู่อี้หมิน
ฉู่อี้หมินหน้าดำคร่ำเครียดอย่างที่คิดไว้ เขาเอ่ยเสียงขรึม พูดว่า “เจ้าเชิญข้ามาเพื่ออะไรกันแน่? มีอะไรก็รีบพูดมา ข้ายังต้องรีบกลับไปอีก”
“ข้าเชิญท่านทั้งสองมาเพราะมีธุระแน่นอน แต่ในเมื่อท่านอ๋องมาแล้ว เกรงว่าอีกครู่คงจะเดินต่อไปไม่ไหว” ซูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย “ท่านอ๋องกับพระชายาตามข้ามาเถอะ!”
เขาเอ่ยพลางเตือนพ่อบ้านอีกว่า “สั่งการต่อไป วันนี้ข้าไม่รับแขก หากมีคนนำสาส์นมาให้ส่งคืนไปให้หมด”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” พ่อบ้านขานรับ แล้วหันตัวถอยออกไปก่อน
ทันใดนั้นซูหลินหันตัวไปอย่างเยือกเย็น และเดินไปทางเรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ฉู่อี้หมินอึดอัดใจมากเหลือทนและตามไปด้วยหน้าตาเคร่งขรึม
คนแซ่เจิ้งกลับรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงแอบรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง นางบีบมือแม่นมกู้ไว้
คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในเรือนด้านหลัง ข้างกายซูหลินมีเพียงองครักษ์คนสนิทสี่คนของเขาเท่านั้น ในจวนไม่เหลือคนรับใช้แม้แต่คนเดียว
พอเข้าไปในเรือนที่ฉู่หลิงซิ่วอาศัยอยู่ เข้าประตูมาก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งคุกเข่าหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น
ฉู่อี้หมินจำไม่ได้ แต่คนแซ่เจิ้งกลับมองแวบเดียวก็จำนางได้ ปี้เยว่สาวใช้ที่คอยรับใช้ประจำตัวฉู่หลิงซิ่ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” คนแซ่เจิ้งตวาดถามด้วยสีหน้าเย็นชาทันที
“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาเจ้าค่ะ!” ปี้เยว่น้อมคำนับอย่างหวาดหวั่น นางเอาแต่เอ่ยประโยคเดิมซ้ำๆ อย่างสับสน “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาเจ้าค่ะ!”
ฉู่อี้หมินสองสามีภรรยายิ่งขมวดคิ้วแน่น
ซูหลินส่งเสียงเย็นออกมาเพียงครั้งเดียว เขายืนเอามือไพล่หลังเอ่ย “เปิดประตู!”
“ขอรับ!” องครักษ์คนหนึ่งขานรับ เขาก้าวเข้าไปรื้อแผ่นไม้ที่ตอกอยู่บนประตูออกและไขกลอนประตู
ประตูห้องถูกเปิดออกส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แล้วเขาก็ถอยหลบไปด้านหนึ่งอย่างรู้งาน ไม่ได้มองในห้องแม้แต่นิดเดียว
ซูหลินหันกลับมายกมือให้ฉู่อี้หมินและคนแซ่เจิ้งว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาเชิญเถอะ!”
สองคนได้แต่มองหน้ากัน สบตากันและกัน แล้วคนแซ่เจิ้งก็เดินเข้าไปก่อนด้วยความสงสัย
เพราะว่าหน้าต่างถูกตอกตะปูปิดตายไปแล้ว ในห้องจึงมืดมาก
คนแซ่เจิ้งก้าวเข้าไปก็ยังปรับสายตาไม่ค่อยได้ นางกวาดสายตามองไปหนึ่งรอบโดยไม่ได้ตั้งใจ
เวลานั้นองครักษ์ที่เป็นลมสลบไปฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาขดตัวหมอบชักกระตุกและครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้างเตียงนอนโดยปกปิดตำแหน่งสำคัญบนร่างกายไม่มิด
ส่วนใต้หน้าต่างอีกข้างนั้นกลับเป็นศพผู้ชายร่างเปลือยที่ขึ้นอืดแล้ว
———————————–