สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 33.5 ถูกสวมเขาอีกแล้ว! (5)
แม้คนแซ่เจิ้งจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ในเรือนด้านหลังของจวนอ๋องหนานเหอมานานหลายปี และถือว่าผ่านความยาก ลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพแบบนี้ นางอายจนหน้าแดงทันทีและยังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางถือผ้าเช็ดหน้าบังหน้าไว้ พร้อมทั้งตำหนิซูหลินอย่างโมโหว่า “ซูหลิน เจ้าบ้าไปแล้วงั้นหรือ? ไม่นึกเลย…ไม่นึกว่าจะให้ข้าดูภาพสกปรกพวกนี้!”
ฉู่อี้หมินสาวเท้าตามเข้าไป สีหน้าเย็นชาในชั่วพริบตา ความโกรธเดือดดาลปะทุขึ้นมาในดวงตาและคล้ายจะระเบิดในเร็วๆ นี้
ทันใดนั้นเงาที่ขดตัวอยู่หลังเสามาตลอดพลันกระโจนออกมาอย่างกะทันหันและกอดต้นขาคนแซ่เจิ้งไว้แน่น พลางร้องไห้ว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย ท่านช่วยข้าด้วย!”
คนแซ่เจิ้งตกใจ
แม่นมกู้ตอบสนองได้เร็วที่สุดและเตะนางออกไป
ฉู่หลิงซิ่วล้มอยู่บนพื้น เสื้อผ้านางหลุดรุ่ยจนเปิดเปลือยผิวขาวผ่องผืนใหญ่
คนแซ่เจิ้งเพิ่งได้เห็นหน้านางชัดๆ ก็ตอนนี้ และถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างตกใจทันที นางเอ่ยอย่างคาดไม่ถึงว่า
“นี่…นี่…”
นางตกใจจนทำตัวไม่ถูก
ฉู่อี้หมินแห่งจวนอ๋องหนานเหอที่อยู่ข้างๆ ยิ่งตกใจจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า ใบหน้าขึ้นสีแดงสลับขาว
ฉู่หลิงซิ่วรีบคลุมเสื้อที่สวมอยู่ แล้วร่ำไห้อย่างหวาดหวั่น
ฉู่อี้หมินรู้สึกเหมือนโดนคนตบหน้าจนเห็นดาวระยิบระยับ เขาหันไปด่าซูหลินอย่างเดือดดาลว่า “ซูหลิน อธิบายมาให้ชัดเจนได้แล้ว เจ้า…”
“อธิบายอะไร? ท่านอ๋องกับพระชายาดูเองไม่เป็นหรือ?” ทว่าซูหลินกลับไม่รอให้เขาถามจบก็ขัดจังหวะเขาอย่างโมโห สายตาคมกริบดุจคมมีดจ้องฉู่หลิงซิ่วเขม็ง
ฉู่หลิงซิ่วถูกขังอยู่ที่นี่มาหนึ่งคืนจนแทบจะเสียสติไปหมดแล้ว พอถูกเขาจ้องก็ตัวสั่นเทิ้มทันที
ซูหลินหาเก้าอี้นั่งอย่างไม่สนใจไยดี และเอ่ยโดยไม่สนใจสีหน้าของฉู่อี้หมินและคนแซ่เจิ้งสักนิดว่า “บุตรสาวจวนอ๋องหนานเหอของเจ้าทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ และทำให้ตระกูลซูของพวกเราต้องอับอายขายหน้ามากขนาดนี้ ข้าเชิญท่านทั้งสองมาตอนนี้เพราะต้องการคำอธิบาย ไม่ใช่เวลาที่พวกเจ้าจะมารวมหัวกันเล่นงานข้า”
“พูดจาเหลวไหล!” ฉู่อี้หมินกล่าวอย่างฉุนเฉียว พอกวาดสายตามองทั้งสามคนแล้ว หลังจากนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่หลิงซิ่วทำเรื่องขายหน้า หากเวลานี้ซูหลินจะประณามก็สมควรแล้ว
ในเมื่อเขาด่าซูหลินไม่ได้ก็จ้องฉู่หลิงซิ่วอย่างโหดเหี้ยมแทน
เดิมทีฉู่หลิงซิ่วก็หวาดกลัวมากอยู่แล้ว แต่นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน เมื่อถูกเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ออกมาหมด นางแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่พ้นคำครหา
พอตัดสินใจได้แล้วนางก็รวบเสื้อผ้าและคุกเข่าลงตรงหน้าคนแซ่เจิ้ง นางดึงชายเสื้อของคนแซ่เจิ้งไว้และมองซูหลินที่อยู่ข้างๆ อย่างอาฆาตแค้นทั้งยังว่า “ท่านแม่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้านะ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก แต่หากไม่เพราะซูซื่อจื่อรังแกคนอื่นเกินไป ข้าก็คงไม่เป็นแบบนี้! เดิมก็ไม่ควรเป็นข้าที่แต่งงานเข้ามาอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ข้าก็ยอมเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้พี่หญิงใหญ่ แต่ซูซื่อจื่อกลับเกลียดชังจวนอ๋องของพวกเรา แล้วยังพาลมาโกรธแค้นลูกไปด้วย เขาไม่เห็นว่าข้าเป็นภรรยาด้วยซ้ำ เป็นเพราะเขาเลวทรามต่ำช้าก่อน จะให้ภรรยาอย่างข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตคงไม่ได้หรอก! ข้าทำแบบนี้ก็เป็นเพราะเขาบังคับข้าทั้งนั้น!”
นี่ไม่เพียงแต่เถียงข้างๆ คูๆ แต่นางได้ทิ้งกระทั่งศักดิ์ศรีของตนเองไปหมดแล้ว
ยังไงฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นคนทำให้นางตกระกำลำบากตั้งแต่แรก หากวันนี้คนแซ่เจิ้งกับฉู่อี้หมินตัดสินใจทอดทิ้งนาง นางก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ก็แค่ตายเท่านั้นเอง ลากคนให้รับผิดไปด้วยกันคนหนึ่งก็ไม่เลว!
คนแซ่เจิ้งฟังคำพูดของนางแล้วรู้สึกเลือดลมไหลพลุ่งพล่าน เวียนศีรษะเป็นระยะ ร่างกายโงนเงนไปมา
“พระชายาระวังเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้รีบประคองนางนั่งลง
คนแซ่เจิ้งปิดหน้าผากร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
ข้อแก้ต่างของฉู่หลิงซิ่วยั่วโมโหซูหลินจนรีบลุกมาคว้าตัวนางขึ้นมาถลึงตาใส่ พลางเอ่ยอย่างเลือดขึ้นหน้าว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าพูดมาอีกรอบสิ!”
“ก็เป็นเพราะเจ้าอยากได้พี่หญิงใหญ่แต่ผิดหวังถึงได้พาลมาโกรธแค้นข้าไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงซิ่วตัดสินใจสู้ตายแล้ว ถึงแม้จะหวาดกลัวก็ยังยืดคอตรงและตะโกนเสียงดังใส่เขาเสียงสั่นอย่างไม่กลัวตาย “เจ้าไม่เข้าใจตรงไหนหรือ? ตอนแรกหากไม่ใช่ว่าพี่หญิงใหญ่ไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า ข้าจะถูกส่งมารับเคราะห์แทนได้ยังไง? เจ้าโกรธนาง รักนาง แล้วเรื่องระหว่างพวกเจ้าเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? เจ้าไม่คิดจะแตะต้องข้าไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมข้าต้องรักษาพรหมจรรย์เพื่อเจ้าด้วย? ข้าเป็นหญิงคบชู้แล้วยังไงเล่า? ในเมื่อเจ้าไม่เคยเห็นข้าเป็นภรรยาอยู่แล้ว ตอนนี้จะมายุ่งกับข้าอีกทำไม? ข้าอยากอยู่กับใคร ข้าก็จะอยู่กับคนนั้น!”
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นชายาซื่อจื่อในนามของเขาแล้ว ใบหน้าและนัยน์ตาของซูหลินแดงก่ำน่ากลัว เหมือนอยากจะฆ่านางทั้งเป็น
ทั้งสองคนสบตากัน
ทั้งสองฝ่ายต่างฉีกหน้ากันอย่างไม่สนใจไยดีแล้วจริงๆ
ซูหลินอยากจะบีบคอนางให้ตาย แต่พอคิดว่าตนเองยังใช้ประโยชน์ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องบอกให้ตนเองอดทนไว้ก่อน เขาทิ้งฉู่หลิงซิ่วลงไปบนพื้นไกลๆ แล้วยิ้มหยันให้ฉู่อี้หมินว่า “ดี! ดีมาก! วันนี้ถือว่าข้าได้เห็นธาตุแท้ของจวนอ๋องหนานเหอของเจ้าแล้ว แต่พูดถึงข้าก็เห็นจนชินแล้ว ในเมื่อนี่เป็นธรรมเนียมจวนอ๋องของพวกเจ้า เช่นนั้นข้าจะยอมรับว่าโชคร้ายเองก็ได้ แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็ต้องขอท่านอ๋องให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย!”
ฉู่อี้หมินอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ทีแรกก็ฉู่หลิงอวิ้น แล้วก็ฉู่หลิงซิ่วอีก บุตรสาวจวนอ๋องของพวกเขาแต่ละคนต่างทำเรื่องงามหน้าแบบนี้ เขาอยากจะหายไปจากตรงนี้ประเดี๋ยวนี้จริงๆ
แต่เพราะโกรธ เวลานี้เขาถึงยังไปไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าหลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปจะนำพามาซึ่งผลร้าย…
ตอนเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นนั้นยังมีหลัวฮองเฮาช่วยปิดบัง แต่นี่ฉู่หลิงซิ่วยั่วโมโหซูหลินมากขนาดนี้ หากทะเลาะกันรุนแรงจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
ฉู่อี้หมินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วสูดหายใจลึก เขาสะบัดเสื้อคลุมหาเก้าอี้นั่งลงเช่นกันด้วยสีหน้าเย็นชา พลางมองไปยังซูหลินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “อย่าได้เล่นงานข้าหนักนักเลย หากเปิดโปงเรื่องนี้ออกไปจริงก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าด้วย จนต่อไปไม่มีที่ยืนในสังคมเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าให้ข้ามาหาเป็นการส่วนตัว ก็เพราะอยากจะตกลงกันเองไม่ใช่หรือ? เจ้ามีเงื่อนไขอะไร? ไม่ต้องอ้อมค้อม พูดมาตรงๆ ได้เลย!”
ซูหลินเจอเขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ก็รู้สึกว่ายังไม่สะใจ สายตาแน่วแน่เบือนไปทางด้านข้าง “ตกลงกันเองอะไรกัน? แค่เป็นลูกไก่ในกำมือของพวกเจ้าครั้งสองครั้ง จวนอ๋องหนานเหอของเจ้าก็คิดว่าจะรังแกตระกูลซูได้ง่ายๆ จริงหรือ? วันนี้ข้าให้พวกเจ้ามาก็เพื่อให้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยกัน จะได้ให้ความกระจ่างแก่เรื่องนี้!”
เขาพูดไปก็ลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วเดินออกไปข้างนอก พลางสั่งเสียงกร้าว “เข้ามาหน่อย เตรียมรถม้า เข้าวัง!”
ฉู่อี้หมินร้อนใจจนลุกพรวดพราดพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่น
——————————————