สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 34.2 ท่าไม้ตายขัดขวางความรัก! (2)
หลัวเถิงอึ้งไปทันที สีหน้าเขาคล้ายฉายแววกระอักกระอ่วนเพียงชั่วครู่ แล้วกลับยิ้มขึ้นมาอย่างถือดี
“ใต้เท้าเหยียนหลิง ไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไรกับวังบูรพางั้นหรือ? หากว่ากันตามลำดับเครือญาติแล้ว ข้าต้องเรียก
องค์รัชทายาทว่าท่านลุง คนครอบครัวเดียวกันมาเยี่ยมทั้งที จะมีพิธีรีตองมากขนาดนั้นไปทำไมกัน? ใต้เท้าเหยียนหลิงกังวลมากเกินไปจริงๆ!”
สกุลหลัวกับวังบูรพาเป็นญาติพี่น้องที่เกี่ยวดองกัน ความจริงข้อนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
หลัวเถิงพูดไปก็เอ่ยกับเจิงจีอีกว่า “พ่อบ้านเจิงอย่าได้ถือโทษเลย ครั้งนี้ข้ารีบร้อนมา วันหลังค่อยเตรียมของขวัญมาชดเชยให้ดีหรือไม่?”
ยังจะมาเยี่ยมบ่อยๆ อีกงั้นหรือ?
“ซื่อจื่อพูดอะไรกัน ญาติพี่น้องกัน ไม่ต้องเกรงใจขอรับ” เจิงจีหัวเราะอย่างมีเลศนัย เขาสังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างทั้งสองคนตั้งนานแล้ว
ระหว่างที่คุยอยู่นั้นกระโปรงสีเหลืองอ่อนก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉู่สวินหยางรอนานแล้วไม่เห็นเหยียนหลิงจวินมาเสียที จึงพาชิงเถิงเดินมาจากเรือนด้านหลัง
นางรู้ว่าเหยียนหลิงจวินจะมา แต่พอเห็นหลัวเถิงก็ประหลาดใจมาก จึงยิ้มและเอ่ยว่า “หือ? ทำไมซื่อจื่อว่างมาได้?”
เหยียนหลิงจวินโต้เถียงแข่งกับหลัวเถิงมาตั้งนาน สีหน้าก็ไม่ดีอยู่แล้ว เวลานี้ฉู่สวินหยางกลับทักทายหลัวเถิงก่อนก็พาลโกรธทันที
หลัวเถิงลอบมองสีหน้าเขา แล้วก็ยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “เมื่อวานทานของว่างและน้ำชาของเจ้าไป วันนี้ต้องมาขอบคุณสักหน่อย แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมพระชายาด้วย!”
“เกรงว่าคงไม่ได้หรอก!” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ท่านแม่ยังไม่ฟื้น”
นางพูดไปก็มองเหยียนหลิงจวินที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ข้างกันอย่างแปลกๆ ว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง ข้ากับท่านพี่รอเจ้านานแล้ว”
“ข้าเจอหลัวซื่อจื่อเข้าแล้วคุยกันถูกคอจึงชักช้า” เหยียนหลิงจวินเอ่ย แล้วแอบสูดลมหายใจ ถึงแม้มุมปากจะยกยิ้มอีกครั้ง แต่นัยน์ตากลับไร้รอยยิ้ม
เขามองหลัวเถิงแล้วก้าวเข้าไปตรงหน้าฉู่สวินหยาง พลางยิ้มมุมปากอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าเพิ่งจะคุยกับหลัวซื่อจื่อไป ได้ฟังเขาพูดแล้ว ข้าถึงนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเจ้าสองตระกูลยังเป็นญาติพี่น้องที่เกี่ยวดองกันด้วย แบบนี้เจ้าก็ควรจะเรียกเขาว่าท่านพี่ใช่หรือไม่?”
หลัวเถิงจะตีสนิท? พวกเขาก็เป็นลูกพี่ลูกพี่น้องที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายกับน้องสาว? เช่นนั้นก็ถือโอกาสให้พวกเขายอมรับว่าเป็นญาติกันต่อหน้าเสียเลย เผื่อเจ้าเด็กนี่ไม่หวังดี
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันเพราะหลัวฮองเฮา แต่ความจริงแล้วหลายปีมานี้สองตระกูลไม่ค่อยไปมาหาสู่กันนัก จนทำให้ฉู่สวินหยางที่คิดแต่เรื่องการเมืองในราชสำนักสับสนเล็กน้อย
นางหน้านิ่งไปชั่วครู่แล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างชัดเจน
หลัวเถิงเห็นรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ของนางแล้วคิดได้ว่าเมื่อครู่ตนเองคิดมิดีมิร้าย ก็หน้านิ่งไปอย่างไร้สาเหตุทันใด
ขณะที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นเอง ฉู่ฉีเฟิงก็รอไม่ไหวจนตามมาด้านหลังเช่นกัน
พอเห็นหลายคนยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าไกลๆ นัยน์ตาเขาก็ทอประกายวาบ แล้วเดินเข้าไปหาอย่างเยือกเย็นมากทันที
“ท่านจวิ้นอ๋อง!” ทั้งสองคนทักทาย
“ใต้เท้าเหยียนหลิง หลัวซื่อจื่อ!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วกลับไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่หันไปมองฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางตีหน้าขรึมว่า “อาการของท่านแม่ไม่ค่อยดี นี่ก็เสียเวลาไปวันหนึ่งแล้ว รบกวนใต้เท้าเหยียนหลิงไปดูก่อนเถอะ!”
หลัวเถิงรู้แค่ว่าฮูหยินรองหลัวกับหลัวฮองเฮาวางแผนเรื่องบังคับแต่งงาน ถึงแม้จะสงสัยข่าวลือเรื่องคนแซ่ฟางป่วยเป็นโรคร้ายอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่รู้ความจริงของเรื่องนี้อย่างแน่ชัด
สายตาวาววับของเขาขยับเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้ถามอะไรมากอย่างรู้กาลเทศะ
ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินก็ก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ย “เชิญท่านหญิงนำทางข้าไปเถอะ!”
คนแซ่ฟางอาศัยอยู่เรือนด้านหลัง ผู้ชายที่เป็นคนนอกไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ เหยียนหลิงจวินเป็นหมอหลวง แน่นอนว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
หลัวเถิงขมวดคิ้ว
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้คิดอะไรมาก นางกำลังจะตอบรับ ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับเหมือนเผลอขยับไปข้างหน้า เขายกมือกดบ่ารั้งนางไว้ว่า “ช่วงนี้ในวังมีเรื่องต้องจัดการมากมาย แล้วยังต้องเตรียมงานแต่งของน้องสี่อีก เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่กำลังหาเจ้าอยู่ เหมือนว่าจะให้เจ้าช่วยเลือกอะไรสักอย่าง เจ้ารีบหาเวลาไปดูสักหน่อยเถอะ! ส่วนท่านแม่ให้ชิงเถิงไปส่งใต้เท้าเหยียนหลิงก็ได้!”
เหยียนหลิงจวินรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอีก
หลัวเถิงรู้สึกกระวนกระวายใจตามไปด้วย ตอนที่เขามองฉู่ฉีเฟิงอีกครั้งก็สัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมา
ต้องยอมรับว่าเขามีใจให้ฉู่สวินหยางจริง เพียงแต่ดูจากความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างตระกูลหลัวของพวกเขากับวังบูรพาช่วงหลายปีนี้ เกรงว่าฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงคงไม่ประทับใจในตัวเขาสักเท่าไร
ฉู่สวินหยางไม่ได้คิดอะไรมาก นางพยักหน้ายิ้ม “น้องสี่กำลังรีบตัดเย็บชุดแต่งงานอยู่ ก่อนหน้านี้นางบอกว่าจะให้ข้าไปช่วยเลือกแบบ แต่สองสามวันนี้ท่านแม่ป่วย ข้าก็ไม่ว่าง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“ใต้เท้าเหยียนหลิง เรื่องท่านแม่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” ฉู่สวินหยางเอ่ย นางพูดไปก็ยิ้มให้ฉู่ฉีเฟิงอีก “เช่นนั้นท่านพี่ไปดื่มชากับหลัวซื่อจื่อที่ห้องโถงเถอะ ข้าไปเดี๋ยวก็มา!”
นางเอ่ยจบก็พยักหน้าให้ทั้งสามคนเล็กน้อย แล้วก้าวเดินไปทางเรือนด้านหลังอย่างว่องไว
เหยียนหลิงจวินมองแผ่นหลังของนางด้วยแววตาแฝงความลุ่มลึกและยังลอบสังเกตสีหน้าของฉู่ฉีเฟิงไปด้วย
คนที่ยังหนุ่มแน่นจัดการเรื่องราวได้อย่างเฉียบขาดและช่ำชองเช่นนี้ทำให้คนต้องระวังตัว
แต่ที่น่าโมโหที่สุดคือฉู่สวินหยางให้ความสำคัญกับเขามาก…
ถึงแม้เจ้าเด็กหลัวเถิงจะมีเจตนาไม่ดีอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่าฉู่ฉีเฟิงกลับมีอิทธิพลต่อ
ฉู่สวินหยางมากอย่างเหลือเชื่อ
พอฉู่สวินหยางจากไปแล้ว บรรยากาศที่นี่ก็กลับเป็นปกติทันที
ทั้งสามคนต่างเก่งเรื่องการเข้าสังคมกันทั้งนั้น คุยกันเพียงไม่กี่ประโยคก็เข้ากันได้อย่างสนิทสนม
พวกเขาทักทายกันเล็กน้อย แล้วชิงเถิงก็พาเหยียนหลิงจวินไปตรวจคนแซ่ฟางที่เรือนด้านหลัง ส่วนฉู่ฉีเฟิงก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านต้อนรับแขกด้วยการพาหลัวเถิงไปดื่มชาด้วยกันที่ห้องโถง
เจิงจียังคงยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า เขามองตามหลายคนแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ พอสั่งให้คนปิดประตูแล้วก็ไปห้องหนังสือของฉู่อี้อันที่เรือนซืออี้ทางด้านหลัง
เพราะเหยียนหลิงจวินต้องมาถอนพิษครั้งสุดท้ายให้คนแซ่ฟาง ดังนั้นวันนี้ฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงพ่อลูกต่างลางานไม่ไปเข้าเฝ้าตอนเช้า เวลานี้เขากำลังขังตนเองอยู่ในห้องหนังสือเพื่อจัดการพวกหนังสือราชการที่ไม่ได้สำคัญมากนัก
เจิงจีเคาะประตูแล้วเข้าไป
ฉู่อี้อันเงยหน้ามองเขาจากหลังโต๊ะ “มีอะไรหรือ?”
“ใต้เท้าเหยียนหลิงมาแล้ว องค์ชายจะไปดูพระชายาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” เจิงจีเอ่ย
ฉู่อี้อันยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าว่า “ไม่ล่ะ รอให้นางฟื้นก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”
“ขอรับ!” เจิงจีพยักหน้า พอนึกถึงภาพที่เห็นตรงประตูทางเข้าเมื่อครู่ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เอ่ย “องค์ชาย ท่านหญิงผ่านพิธีปักปิ่นก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่ากันว่าสตรีที่ปักปิ่นแล้วต้องออกเรือน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่คิดให้นางแต่งงานภายในปีหรือสองปีนี้ แต่…ก็ควรลองเลือกไว้ก่อนหรือเปล่าขอรับ?”
——————————————-