สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 34.4 ท่าไม้ตายขัดขวางความรัก! (4)
เหยียนหลิงจวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ราวกับสบายใจและมีความสุขมากเหลือเกิน ทว่าระหว่างที่เดินนั้นกลับเลิกคิ้วขึ้นและเพ่งมองไปยังมุมอับสายตาใต้ระเบียงคดที่เยื้องไปทางด้านหลังอย่างเยือกเย็น
แล้วก็ยิ่งยกยิ้มมุมปากอย่างลุ่มลึก
ทั้งสองคนเดินตามกันออกไปจากสวน
ตรงหัวโค้งของระเบียงทางเดินนั้น สีหน้าหลัวเถิงเปลี่ยนไปหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อก็แอบกำขึ้นมาเช่นกัน
ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะสะบัดเหยียนหลิงจวินทิ้งที่เขาล่วงเกินนางเมื่อครู่ แต่กลับไม่ได้โกรธจริงจังนัก ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันอีกเหมือนรู้กันอยู่สองคน
ทั้งเข้าใจกันและกันดีทั้งยังใจตรงกันง่ายขนาดนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าสองคนนั้นสนิทสนมกันมากเกินกว่าที่เขาคิดไว้
บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเศร้าหรือโกรธ แค่รู้สึกขมขื่นและทุกข์ใจ
ไม่ว่าเวลานี้เขาจะได้เปรียบที่มีความเกี่ยวข้องกับวังบูรพาอย่างไร แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวเขาก็ตกเป็นรองแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหยียนหลิงจวินจงใจให้เขาเห็นภาพเมื่อครู่ เพื่อตอบโต้เขาด้วยวิธีที่จริงและตรงที่สุดอย่างแรง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะพูดข่มได้ สุดท้ายเขาก็แพ้ให้กับคนที่มาก่อน
คิดแล้วหลัวเถิงก็ยิ้มเจื่อนอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นพอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอฉู่ฉีเฟิงที่ไปดูคนแซ่ฟางมาแล้วกำลังกลับเรือนด้านหน้าพอดี
“หลัวซื่อจื่อ!” ฉู่ฉีเฟิงสีหน้าเรียบเฉยและไม่ยินดียินร้าย เขาดูมีมารยาทจนทำให้คนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ท่านจวิ้นอ๋อง!” พอควบคุมสติอารมณ์ได้แล้ว หลัวเถิงก็รีบก้าวเข้าไปหา เขาปรับสีหน้าแล้วยิ้ม พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อวังของเจ้ามีเรื่องต้องจัดการมากมาย เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว กำลังจะไปบอกลาเจ้าพอดี”
“อื้ม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าและไม่ได้รั้งไว้เช่นกัน เพียงแค่เอ่ย “ท่านแม่ของข้ากำลังป่วย หากมีตรงไหนดูแลไม่ทั่วถึงก็ต้องขออภัยด้วย”
“เป็นเพราะข้ามาอย่างกะทันหัน ข้าต้องขอบคุณท่านถึงจะถูก” หลัวเถิงยิ้ม
ถึงแม้เขาจะเก็บอาการได้ดีแค่ไหน แต่ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนสายตาเฉียบแหลมจึงยังสังเกตเห็นว่าเขาฝืนยิ้ม ทว่าไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน แล้วให้เจี่ยงลิ่วไปส่งเขา ส่วนตนเองก็เดินเลี้ยวกลับไปทางเรือนด้านหลังอีกครั้ง
ทิศทางที่เขาเดินไปคือเรือนจิ่นฮว่า
สาวใช้ถือถาดเดินเข้ามาจากนอกประตูโค้งนั้นและเตือนว่า “ท่านจวิ้นอ๋องจะหาท่านหญิงหรือเจ้าคะ? ท่านหญิงเพิ่งจะออกไปส่งใต้เท้าเหยียนหลิงเจ้าค่ะ”
ฉู่ฉีเฟิงชะงักฝีเท้า สีหน้าฉายแววลุ่มลึกโดยไม่รู้ตัว เขาหันกลับไปมองนอกประตูนั้นราวกับลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายถึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “รู้แล้ว!”
แล้วก็เปลี่ยนใจเดินไปอีกทาง เพื่อกลับเรือนจิ่นโม่ของตนเอง
———————————–
เมื่อวานฉู่สวินหยางนั่งรถม้าของเหยียนหลิงจวินกลับมา แน่นอนว่าวันนี้ก็ต้องคืนให้เขา และเพราะโรงม้าอยู่ใกล้ประตูหลัง ทั้งสองคนจึงตรงไปออกทางประตูหลังเลย
พอคนเลี้ยงม้านำรถม้ามาให้ เชินหลานก็รับแส้ม้ามาอย่างดีใจมากว่า “เดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
คนนั้นก็ไม่เรื่องมาก เขาคารวะทั้งสองคนแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าไป
“หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ต้องกลับเข้าไปเช่นกัน” ฉู่สวินหยางเอ่ย
ทว่าตอนที่เงยหน้ามองเหยียนหลิงจวินนั้น กลับเห็นว่าสีหน้าเขานิ่งขรึมอย่างบอกไม่ถูกอีกแล้ว จึงอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ นางเลิกคิ้วแล้วส่งสายตาถามเขา
เหยียนหลิงจวินกวาดสายตามองรอบๆ แล้วโอบเอวกอดนางไว้ทันทีและมุดเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
เขาพาฉู่สวินหยางมานั่งบนเตียงข้างในสุด
เขาชอบทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้จนนางเคยชิน สองมือของนางเกาะไหล่เขาไว้มั่น แล้วยิ้มตาหยีมองเขา “จะทำอะไร? มีอะไรพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ? หรือเจ้าได้ข่าวจากซูอี้อีกแล้ว?”
เหยียนหลิงจวินเห็นใบหน้ายิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ของนางแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจและอ่อนใจทันที
เขาไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะคิดอะไรกับหลัวเถิง แต่เด็กสาวที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และหลอกง่ายขนาดนี้ เขาเห็นแล้วเป็นกังวลจริงๆ
ด้วยตัวรถสูงไม่พอ ตอนนี้เขาจึงต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้านาง
เขามองรอยยิ้มใสซื่อและงดงามของนางแล้วจู่ๆ ก็โน้มตัวไปกัดริมฝีปากของนางอย่างแรง
ฉู่สวินหยางร้องเจ็บ แล้วยกมือขึ้นปิดปากไว้
ริมฝีปากของเขาจุมพิตหลังมือที่อ่อนนุ่มและเกลี้ยงเกลาของนาง แล้วงับปลายนิ้วของนางเล่น
ฉู่สวินหยางเผลอหดมือหลบไปเอง
เขาฉวยโอกาสจูบนางได้อีกครั้ง แล้วจงใจให้นางเผยอปากเพื่อสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวพันอย่างร้ายกาจ ทำให้จูบนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ฉู่สวินหยางนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ฝ่ามือค้ำเตียงนอนไว้และเอนหลังพิงผนังรถด้านหลัง เดิมทีนางคิดว่าเขาคงหยอกล้อแค่ประเดี๋ยวเดียว
แต่เหมือนคนคนนี้จะตั้งใจแกล้งนาง ถึงได้ระดมจูบตามใจชอบครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ จนทำให้ใบหน้าของนางค่อยๆ ร้อนขึ้นมา แถมยังไม่ใส่ใจสักนิดและดูมีความสุขที่ได้ทำอีกต่างหาก
ฉู่สวินหยางลองดันบ่าเขาเล็กน้อยก็ไม่ได้ผล แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกได้ตามใจชอบ จึงฉวยโอกาสขยับมือที่กดบ่าเขาไว้เปลี่ยนเป็นโอบกอดคอเขาแทน และคิดจะอ้าปากกัดเขาอย่างร้ายกาจเช่นกัน
ทว่าเหยียนหลิงจวินรู้ดีว่านางย่อมไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่น ซึ่งเขาก็คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ แม้แต่จังหวะการขยับตัวของนาง แล้วก็โน้มคอหลบไปข้างหลังทันที
ฉู่สวินหยางคว้าน้ำเหลว แต่นางยังรู้สึกได้ถึงน้ำลายของเขาที่ติดอยู่บนริมฝีปาก จึงรู้สึกอึดอัดใจและหน้าแดงเล็กน้อยทันที
ต่อให้เหยียนหลิงจวินยังรู้สึกหงุดหงิด ถึงตอนนี้ก็มลายหายไปหมดแล้ว
เวลานั้นสองมือของฉู่สวินหยางยังโอบอยู่รอบคอเขาและนางกำลังจ้องเขาอย่างโมโห
เขามองนัยน์ตาวาววับของนางอย่างใกล้ชิด แล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้และจูบนางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ทำไมถึงหลอกง่ายแบบนี้?”
ฉู่สวินหยางอึ้งไป
พอรู้ว่าถูกเขาแกล้งเข้าแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที นางกอดคอเขาไว้แล้วใช้กำลังให้โน้มกายมาข้างหน้า
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ระวังตัวตั้งแต่แรก และยิ่งไม่คิดว่านางจะลงมือแรงขนาดนี้อย่างกะทันหัน เขาประมาทไปเพียงชั่วครู่ก็ถูกนางฉุดจนล้มหงายหลังลงบนเตียงแคบนั้นอย่างแรง
หลังเขากระแทกเสียงดังจนรู้สึกเจ็บ
แต่เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรอีกแล้ว หลังจากที่สองคนสลับตำแหน่งกัน ฉู่สวินหยางก็ล้มลงบนตัวเขาและกึ่งซบอยู่บนอกเขาพอดี มือของนางกดหน้าอกเขาไว้ไม่ให้ขยับ
หญิงสาวหน้าแดงก่ำและกำลังเบิกตามองเขาอย่างโมโหร้าย
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางเดือดดาลของนางแบบนี้ก็อยากหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่นิดเดียว…
ฉู่สวินหยางกลับจู่โจมเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงและบดเบียดริมฝีปากเขาอย่างรุนแรง
ทีแรกเหยียนหลิงจวินกำลังอยากจะหัวเราะ แต่ไม่คิดว่าจะถูกนางขัดจังหวะแบบนี้ เขาเกือบหายใจไม่ทันด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาสำลักน้ำลายตนเองจนหน้าดำหน้าแดง
แต่ฉู่สวินหยางเหมือนคิดจะแก้แค้นเขา นางไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตอกกลับแม้แต่น้อย แถมยังใช้สิทธิที่เป็นฝ่ายรุกจู่โจมกลับอย่างถึงที่สุดจนสำเร็จสมใจ
————————————————–