สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 35.2 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 35.2 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (2)
ฉู่สวินหยางหัวเราะขึ้นในใจ มองตามแผ่นหลังของนางไป จากนั้นหันมามองคนแซ่ฟางทีหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวข้าไปกำชับให้ทางห้องครัวเตรียมสำรับอาหารเย็นก่อนนะเจ้าคะ แล้วเดี๋ยวจะไปรอรับท่านพ่อที่ประตูวัง วันนี้ท่านแม่ร่างกายดีขึ้นแล้วทั้งที อย่างน้อยเราต้องกินข้าวกันพร้อมหน้ากันหน่อยนะเจ้าคะ!”
คนแซ่ฟางไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง
ฉู่ฉีเฟิงเองก็พยักศีรษะเห็นด้วย “ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพ่อจะออกจากวังเมื่อไร หากเจ้าจะไปก็ใส่เสื้อผ้าเยอะๆ ทำร่างกายให้อบอุ่นไว้ล่ะ”
ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นหันไปพูดกับคนแซ่ฟางบอกให้นางพักผ่อนให้สบายแล้วก็เดินออกไป เหลือเพียงสองแม่ลูกอยู่ในห้องนั้นสองคน
แต่เมื่อนางไปแล้ว จู่ๆ ในห้องก็เงียบลงอย่างน่าประหลาด บรรยากาศนั้นมันเงียบยิ่งกว่าตอนที่นางอยู่มากนัก
ฉู่ฉีเฟิงยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง มองไปยังคนแซ่ฟางด้วยสีหน้าสับสนกังวล
คนแซ่ฟางเอาแต่ก้มมองลวดลายบนผ้าห่มที่พาดอยู่บนขาของตนไม่เงยหน้าขึ้น
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ฉู่ฉีเฟิงเดินไปที่หน้าบานหน้าต่าง ยกมือผลักเปิดออกไป จากนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวว่า “แม่นมฉางน่าจะบอกท่านแม่แล้วว่าเสด็จย่าทรงสิ้นแล้ว หากท่านแม่ยินดีล่ะก็ ใช้ชีวิตอยู่ต่อที่จวนเถิดนะขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก แม่พักอยู่บนเขาจนชินแล้ว คงไม่รบกวนพวกเจ้าแล้วล่ะ” คนแซ่ฟางกล่าวเสียงทุ้มต่ำกว่าปกติ ฟังแล้วรู้สึกเกรงอกเกรงใจและห่างเหินเหลือเกิน
ไม่รู้เหมือนกันว่าคิ้วของฉู่ฉีเฟิงขมวดเข้าหากัน สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำแน่นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
เขาเม้มปากขึ้นอย่างร้อนรน ลังเลอยู่นานกว่าจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกว่า “หากท่านกลับไปตอนนี้ก็ดี เพราะปิ่นปักผมของท่านอันนั้นถูกคนอื่นขโมยไปแล้ว ข้าเองก็ไปสืบมาอยู่หลายวัน แต่ยังหาเบาะแสไม่ได้เลย ส่วนทางท่านพ่อตรงนั้น…ข้าหวังเพียงแค่อย่าให้เขาคิดเอะใจสงสัยขึ้นมาเลยก็พอ”
ตั้งแต่ที่นางลอบฆ่าฉู่ฉีฮุยแล้วโยนความผิดให้หลัวฮองเฮาครานั้น ก็ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ให้ฉู่ฉีเฟิงฟังเลยสักครั้ง แต่นางก็ไม่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รู้เรื่องพวกนี้อย่างละเอียดแม้แต่นิด
นางคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยปากขึ้นอย่างใจเย็นว่า “รบกวนเจ้าแล้ว!”
ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน จิตใจและอารมณ์ของฉู่ฉีเฟิงเองก็สับสนไม่น้อย ถึงแม้เขาจะไม่เคยเผยด้านนั้นให้ฉู่สวินหยางเห็น แต่ในเวลานี้เขากลับอดไม่ได้ที่จะปะทุระเบิดมันออกมา
เขาหันหลังกลับไป ทำหน้าคิ้วขมวดเป็นปมเดินเข้าไปหาคนแซ่ฟาง แล้วเปล่งเสียงขึ้นพูดอย่างกดดันและหนักแน่นว่า “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าคงไม่เคยบอกท่านไว้ ว่าข้าไม่ต้องการให้ท่านทำเรื่องพวกนี้เพื่อข้าเลยแม้แต่นิด ท่านเองก็รู้จักนิสัยของท่านพ่อดี สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด มันปิดบังได้แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น มันปิดบังไปไม่ได้ตลอดหรอกขอรับ ถ้าเกิดเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา…”
ฉู่ฉีเฟิงพูดพลาง จู่ๆ ก็รู้สึกหมดแรง พลางสะบัดเขนเสื้อไปด้านข้าง “ถึงตอนนั้นท่านจะเผชิญหน้ากับเขายังไง?”
ฉู่ฉีฮุยไม่นับว่าสำคัญอะไรหรอก หลัวฮองเฮาก็เหมือนกัน ที่จริงแล้วจิตใจของเขาและฉู่สวินหยางต่างหากที่…
พวกเขาสองคนให้ความสนใจแต่กับตำแหน่งและความรู้สึกของฉู่อี้อันแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ว่าจะฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา หรือบีบบังคับให้แม่แท้ๆ ของเขาตาย หรือไม่ว่าเขาจะไม่พอใจกับบุตรชายคนนั้นของตนมากเท่าไร หรือทำให้เขากับแม่แท้ๆ ของตนห่างเหินกันมากเพียงใด…
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ ที่ใครๆ ยอมรับมันได้อย่างง่ายดายหรอก
สีหน้าของคนแซ่ฟางแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น นางเพียงก้มมองลงต่ำยิ่งกว่าเดิม หากคนภายนอกมองเข้ามาคงคิดว่านางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่หากตั้งใจมองดีๆ แล้ว สิ่งเดียวที่เผยให้เห็นนั้นคือแววตาอันเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่
เพลิงไฟส่องสว่างโชติช่วง เต็มไปด้วยความดื้อรั้นและเป้าหมายอันชัดเจน
“เขา…เขาไม่มีทางรู้หรอก!” นางพูดขึ้น
“ท่านแม่!” ฉู่ฉีเฟิงร้อนรนขึ้นอีกครา เสียงสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาหันหลังกลับมาอีกครั้งกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแซ่ฟาง เขาก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “ข้าบอกท่านตั้งนานแล้วไง ข้าไม่อยากไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น ข้าไม่ได้อยากเป็นคนใหญ่คนโต ท่านแม่อุตส่าห์ยอมอดทนหลบซ่อนเพื่อข้ากับสวินหยางมาตั้งหลายปี อดทนมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ ถือซะว่าท่านเห็นแก่หน้าท่านพ่อเถอะนะขอรับ หรือว่าเห็นแก่ข้ากับสวินหยางก็ได้ ท่านยอมถอยสักก้าวได้หรือไม่? หากในอนาคตเรื่องมันถูกเปิดโปงขึ้นมา ข้าไม่กลัวที่จะถูกผู้คนด่าประณามหรอก แต่ว่า…ท่านก็น่าจะช่วยให้ข้ามองหน้าท่านพ่อติดหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”
“เพราะข้าเอง!” คนแซ่ฟางฟังน้ำเสียงรุนแรงของเขา จู่ๆ นางก็ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น จากนั้นเงยหน้าจ้องมองฉู่ฉีเฟิงอย่างไม่ละสายตา ค่อยๆ พูดขึ้นทีละคำอย่างชัดเจน “ข้ารู้ว่าข้าทำผิดต่อเขา อนาคตหน้าหากถึงเวลาที่ข้าต้องตายลงเมื่อไร ข้าจะสำนึกผิดทดแทนบุญคุณให้เขาอย่างสุดชีวิต! แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า ในเมื่อเจ้ารู้เหตุผลที่ข้าหลบซ่อนมานานหลายปีแล้ว ก็อย่าได้พูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าข้าอีก ตำแหน่งนั่น…ต้องเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว! อย่าได้พูดว่าไม่คิดจะแย่งชิงอะไรพวกนั้นเป็นอันขาด หากเจ้าไม่คิดจะแย่งชิงมัน งั้นข้าคงต้องทำแทนเจ้าเอง เจ้าก็รู้นี่ว่า…สถานภาพของเจ้านั้นมันถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินหรอก หากเจ้าคิดจะยอมปล่อยทุกสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดายตรงหน้าไป เจ้าจะไม่ละอายใจ…ต่อสิ่งที่ข้าทำให้เจ้าอย่างยากลำบากมานานหลายปีแบบนี้หรอกเหรอ!”
คนแซ่ฟางพูดไปก็ตื่นตระหนกขึ้นจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ถึงขนาดมีบางประโยคที่พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งเลยทีเดียว
นางจ้องมองฉู่ฉีเฟิงด้วยแววตาร้อนแรง ภายใต้ความดึงดันนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอ้อนวอนขอร้องอยู่
“ข้ารู้ว่าสองครั้งที่ผ่านมาข้าผิด ที่ข้าตัดสินใจทำไปโดยพลการ แต่ถ้าไม่กำจัดสิ่งกีดขวางพวกนี้ทิ้งไป ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วมันก็ต้องกลายเป็นตัวถ่วงให้เจ้าอยู่ดี” คนแซ่ฟางกล่าว เมื่อเห็นว่าฉู่ฉีเฟิงไม่สนใจ นางก็พยายามจะลุกลงจากเตียง
ฉู่ฉีเฟิงจึงเดินเข้าไปพยุงนางเอาไว้ จากนั้นกดตัวอีกฝ่ายให้นอนลงบนเตียง
หลายวันมานี้นางป่วยไม่สบาย จึงทำให้ดูซูบผอมลงไปมาก นิ้วมือผอมจนเนื้อหนังติดกระดูกอย่างเห็นได้ชัด
นางตื่นเต้นร้อนใจพยายามจะคว้าแขนของฉู่ฉีเฟิงเอาไว้ แต่ด้วยที่มีเสื้อผ้าหนาหลายชั้นห่อหุ้มอยู่ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์พอสมควร
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวล ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้องค์รัชทายาทรู้สึกแย่ เพราะงั้นข้าจะทำเรื่องแย่ๆ พวกนั้นแทนเจ้าเอง ในเมื่อเขาไม่รู้ งั้นเจ้าก็จงทำเป็นไม่รู้ต่อไปเถอะ” คนแซ่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจเต้นรัว แต่ด้วยสีหน้าแบบนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนที่มองมารู้สึกขัดแย้งกันเสียเหลือเกิน
ฉู่ฉีเฟิงหันมองนาง แววตาสั่นคลอนเล็กน้อย สีหน้าท่าทางสับสนวุ่นวายยากจะดูออกว่าคิดอะไรอยู่
เวลาผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คนแซ่ฟางก็ยังเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป ดูแล้วมันช่างไร้หลักการมั่วไปหมด แต่นางก็ยังคงดึงดันจะเป็นจะตายให้ได้ เขารู้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางพูดโน้มน้าวใจนางได้
แต่ตอนนี้…
เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากจะช่วยนางปกปิด เขายังจะทำอะไรอย่างอื่นได้อีก?
“พอเถอะขอรับ” เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พยุงตัวนางให้เอนตัวนอนลง “ท่านแม่พักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องหลังจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“ข้า…” คนแซ่ฟางจะเอ่ยปากพูด คิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไร แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ เมื่อหลุดพูดออกไปนิดหนึ่งแล้วถึงได้เปลี่ยนใจไม่พูดต่อ นางนิ่งเงียบไป จากนั้นพยักหน้าเบาๆ พูดขึ้นอย่างขมขื่นว่า “ข้ารู้ว่ากำลังทำให้เจ้าลำบากใจ หากเจ้าจะโทษข้า ข้าก็ไม่มีข้อแก้ตัวหรอก”
“ข้าไม่ได้โทษท่าน!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ปรายตามองนางอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
ทางด้านนอกแม่นมฉางก็ยกถ้วยยาโสมเข้ามาพอดี เขาจึงถือโอกาสนี้หลบออกไปยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อฉู่สวินหยางเดินออกมาจากเรือนแล้ว ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาขึ้นทันที นางมุ่งหน้าเดินออกไปพลางหันไปถามจูหย่วนซานที่ยืนรออยู่ด้านนอกไปพลาง “ท่านพ่อถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าเพราะเรื่องอะไร?”
“คนที่มาส่งข่าวไม่ได้บอกไว้ขอรับ แต่ข้าน้อยไปสืบมาให้แล้ว” จูหย่วนซานเร่งฝีเท้าเดินตามอีกฝ่ายให้ทันพลางพูดตอบว่า “เพราะเรื่องสกุลซูเรื่องนั้นขอรับ ซูหลินกักขังฉู่หลิงอวิ้นไว้หนึ่งวันเต็มๆ วันนี้ตอนช่วงเช้าตรู่ก็เพิ่งเรียกให้คู่สามีภรรยาแห่งจวนอ๋องหนานเหอเข้าเฝ้า ส่วนข่าวคราวในจวนของพวกเขาปิดเป็นความลับอย่างแน่นหนา ข้าเลยไม่ทราบรายละเอียดเบื้องลึกเท่าไร แต่ได้ยินว่าทั้งสองฝ่ายมีปากเสียงกันร้ายแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือด้วยขอรับ!”
เรื่องทุกอย่างของซูหลินอยู่ภายใต้การควบคุมของฉู่สวินหยางทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อเรื่องจับชู้เกิดขึ้น นางก็ได้รับข่าวนั้นทันที
ฝีเท้าของฉู่สวินหยางหยุดชะงักลง สีหน้าเคร่งขรึม พูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำว่า “ทำไม? รุนแรงขนาดนั้นเชียว?”
“ใช่ขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว กระตุกมุมปากเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเยาะเย้ยหรือรู้สึกแย่ “ดูเหมือน ว่าจะลงไม้ลงมือกันรุนแรงมากขอรับ ท่านอ๋องหนานเหอถึงขั้นถูกคนแบกตัวออกมา คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นบอกว่าเขาเลือดเกือบท่วมตัวด้วยขอรับ”
“แล้วซูหลินล่ะ?” จู่ๆ ฉู่สวินหยางถามขึ้นนิ่งๆ
พวกเขาสองคนทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถึงขั้นโวยวายจนเกิดเรื่องแบบนี้มันช่างทำให้คนรู้สึกสงสัยเหลือเกิน
“ดูเหมือนว่าเขาจะปลอดภัยดีขอรับ แต่ว่ารถม้าของอ๋องหนานเหอไม่ได้กลับจวนอ๋องไปในทันที ทว่ากลับมุ่งหน้าเข้าวังไป” จูหย่วนซานกล่าว “ที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้องค์รัชทายาทเข้าวัง คงน่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอรับ!”
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วคิดตาม “แล้วฉู่ฉีเหยียนล่ะ?”
“ไปว่าราชการตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับ ดูท่าตอนนี้น่าจะยังอยู่ที่พระราชวังกระมัง” จูหย่วนซานกล่าวตอบ
ฉู่สวินหยางหรี่ตาลง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างนึกสนุก
จูหย่วนซานเห็นว่าหัวเราะขึ้นมาอย่าน่าประหลาดก็ตกใจ “ท่านหญิง เป็นอะไรหรือขอรับ?”
“เปล่าหรอก ให้คนเตรียมรถที พวกเราไปเตรียมตัวรับท่านพ่อที่ประตูวัง เพื่อกลับมารับประทานอาหารเย็นกัน
เถอะ” ฉู่สวินหยางกล่าว รับเสื้อคลุมจากเจี๋ยหงขึ้นคลุมไหล่อย่างขอไปที แล้วก้าวเท้าเดินออกไป
————————————————-