สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 35.3 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 35.3 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (3)
ณ ห้องทรงอักษร
ฉู่อี้หมินหน้าขาวซีดตัวเอียงอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งไท่ซือ ดูสภาพแล้วใกล้จะหมดลมหายใจตายไปแล้วก็ไม่ปาน
บาดแผลตรงใต้ซี่โคร่งกับแขนของเขาได้รับการรักษาจากหมอหลวงที่ฮ่องเต้สั่งเร่งให้เข้ามาช่วยเหลือไว้แล้ว แต่ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมากครึ่งค่อนชีวิต แล้วต้องมีเคราะห์เลือดตกยาง เสียเลือดเยอะเกินไปแบบนี้เข้า มันทำให้เขาดูอ่อนแอปวกเปียกมากเหลือเกิน ราวกับว่าจะเป็นลมเสียชีวิตไปได้ทุกเมื่อ
ชุดของซูหลินมีรอยเลือดที่กระเซ็นใส่ เขาทำหน้านิ่งเดินเข้าไปคุกเข่าลงด้านหน้าโต๊ะทรงอักษร
พระชายาแห่งจวนอ๋องหนานเหอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาไปพลางพูดโอดครวญไปพลาง “ท่านพ่อเพคะ ท่านต้องช่วยคืนความยุติธรรมให้พวกเราด้วยนะเพคะ มีเรื่องอะไรทำไมถึงคุยกันดีๆ ไม่ได้? เขาว่ากันว่าผู้เป็นนายกับบ่าวนั้นต่างกัน ใครกันแน่ที่ทำให้ซูหลินกล้ามากขนาดนี้? เมื่อกี้ท่านหมอหลวงบอกแล้วว่า หากดาบเล่มนั้นแทงเบี้ยวไปสักครึ่งนิ้ว ท่านอ๋องของข้าคงต้องสังเวยชีวิตไปแน่นอน ที่เขา…ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะไม่ได้ให้ความเกรงอกเกรงใจกับราชวงศ์ของเรา และก็ไม่เกรงใจฝ่าบาทเลยนะเพคะ!”
“พระชายาอ๋องหนานเหอ ท่านอย่ามาเถียงข้างๆ คูๆ แบบนี้เลย” ซูหลินพูดตอบขึ้นอย่างเย็นชา
เดิมทีเขามือลั่นจนเผลอทำร้ายฉู่อี้หมินไป เขาเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่ทว่าตอนนี้เขากลับใจเย็นลงมาได้
เขายืดหลังตรง มองไปยังฮ่องเต้ที่นั่งทำหน้าเย็นยะเยือกอยู่เบื้องหลังโต๊ะทรงอักษรนั้นอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว จากนั้นพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนทุกอย่าง ทหารในจวนของข้าเป็นพยานได้ ตอนนั้นคนที่ถืออาวุธตั้งใจจะฆ่าคนคืออ๋องหนานเหอต่างหาก ข้าน้อยเพียงแค่พลาดพลั้งมือจนทำให้เขาบาดเจ็บ เป็นการกระทำที่ถูกอีกฝ่ายกดดัน จนต้องป้องกันตัวเองเท่านั้น ท่านพยายามทำการสังหารผู้อื่นแต่ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียเอง แล้วตอนนี้มาคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ทูลความเท็จเช่นนี้งั้นเหรอขอรับ?”
“เจ้า…” คนแซ่เจิ้งโมโห ยกนิ้วชี้หน้าอีกฝ่าย
แต่ซูหลินกลับไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เขายกสองมือทำท่าคำนับฮ่องเต้แล้วกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ข้ากระหม่อมเพียงแค่ต้องการเชิญท่านอ๋องและพระชายาไปที่จวน เพียงเพราะต้องการคุยด้วยเหตุผลเท่านั้น เพราะบุตรสาวของพวกเขาทำเรื่องมิบังควรแท้ๆ แต่พวกเขายังลงไม้ลงมือทำร้ายคนอื่นก่อนอีก พวกเขาเจตนาฆ่าคนปิดปากชัดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ ใต้หล้านี้มีเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้ที่ไหนกัน?”
สำหรับเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มจนจบจวนอ๋องหนานเหอมีแต่เรื่องเสียเปรียบ
คนแซ่เจิ้งโมโหเดือดดาลจนเหงื่อไหลไม่หยุด นางโต้แย้งไม่ชนะเขา จึงทำได้เพียงส่งสายตาขอร้องไปให้ฉู่ฉีเหยียนที่นั่งอยู่ด้านข้างฉู่อี้หมิน
ตั้งแต่ฉู่ฉีเหยียนเหยียบเท้าเข้ามาในวังเขาก็ปิดปากเงียบมาตลอด เขาขยับตัวเดินออกมา จากนั้นยกมือคำนับฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท อย่างไรแล้วเรื่องนี้ทางจวนอ๋องหนานเหอเองก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากว่าซูซื่อจื่อเขาต้องการล่ะก็ พวกเราจะขอโทษและชดใช้ให้ ไม่ว่าฝ่าบาทตัดสินอย่างไรก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ เหมือนอย่างคำที่ท่านแม่เพิ่งกล่าวไป ผู้เป็นนายกับบ่าวนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้นแล้วฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินพระทัยในทุกเรื่อง ซูซื่อจื่อคิดว่าตัวเองยืนอยู่บนหลักของเหตุและผลแล้ว คิดจะลงมือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่สนใจกฎของบ้านเมืองอย่างตามใจชอบแบบนี้ได้งั้นเหรอ?”
“ใครกันแน่ที่เถียงข้างๆ คูๆ?” ซูหลินถลึงตามอง พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวจนแทบจะกระโดดพุ่งเข้าใส่ “ก็เพราะคนชั้นต่ำไร้ยางอายของจวนอ๋องหนานเหอนั่นแหละ เพราะท่านอ๋องคิดจะปกปิดความผิดของตัวเองถึงได้กล้ามาทำร้ายข้าถึงจวนเยี่ยงนี้ ต้องให้ข้ายอมเขาโดนแทงจนตายงั้นหรือ ถึงจะเรียกว่าข้าให้เกียรติคนของราชวงศ์อย่างพวกท่านน่ะ? ฝ่าบาท ท่านเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระปรีชานัก ฝ่าบาทได้โปรดตัดสินด้วยความเป็นธรรมเถิดพ่ะย่ะค่ะ โปรดช่วยข้ากระหม่อมด้วย!”
ฉู่หลิงซิ่วเป็นคนของจวนอ๋องหนานเหอ แต่หากต้องการย้อนหาต้นตระกูลจริงๆ เข้าล่ะก็ นางถือว่าเป็นคนของราชวงศ์เสียด้วยซ้ำไป
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้เองอับอายขายขี้หน้าเช่นกัน
อีกอย่างฉู่อี้หมินเองก็แยกแยะไม่เป็น ทำจนเรื่องวุ่นวายจนเกือบคร่าชีวิตคนไปแบบนี้เสียได้
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาจึงพยายามไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้ายังไงเล่า?”
“ฉู่หลิงซิ่วทำผิดกฎหนึ่งในเจ็ดขับ[1] ในเมื่อนางเป็นคนของจวนอ๋องหนานเหอ กระหม่อมเองก็ไม่กล้าไม่ให้เกียรติท่านอ๋องกับพระชายา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร กระหม่อมขอเพียง…ขอเพียงให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้ากระหม่อมหย่ากับนางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลินกล่าวหนักแน่น
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ฉู่หลิงซิ่วก็คงไม่มีชีวิตเหลือรอดอยู่ต่ออีกแน่นอน
ถึงแม้เขาโกรธจนอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นไปเสีย แต่ผู้หญิงคนนั้นยังมีศักดิ์เป็นถึงราชวงศ์ เขาจึงยังยับยั้งชั่งใจไว้ได้อยู่ เลยตัดสินใจ สู้โยนเรื่องนี้ให้จวนอ๋องหนานเหอจัดการไปดีกว่า
คนแซ่เจิ้งอ้าปากกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่กลับโดนฉู่ฉีเหยียนปรายตามองสั่งห้ามเอาไว้
ฮ่องเต้ปรายตามองซูหลินหนึ่งที จากนั้นเบนสายตาออกอย่างไร้เยื่อใย ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเข้าไปหนึ่งคำแล้วพูดว่า “จากเรื่องนี้ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไร ทั้งสองครอบครัวยังต้องรักษาหน้าตาของตนเอาไว้ ในเมืองหลวงแห่งนี้มีผืนดินเยอะแยะมากโข ข้าจะอนุญาตให้เจ้าออกจากเมืองหลวงไป แล้วกลับบ้านเกิดไปได้”
ฉู่หลิงซิ่วเป็นคนของราชวงศ์ อยู่ดีๆ จะโดนปลดอย่างไร้สาเหตุแบบนี้ได้เยี่ยงไร? ไม่ถึงครึ่งวันหรอก ข่าวฉาวโฉ่ว่อนกระฉ่อนไปทั่วเมืองแน่
ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้ขึ้น จนกลายเป็นข่าวลือแพร่สะพัดแบบนี้แน่นอน…
ซึ่งเรื่องนี้ ซูหลินคิดไว้อยู่แล้ว
และมันก็…
เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เขาดึงดันรั้งฉู่หลิงซิ่วเอาไว้
ฮ่องเต้ต้องการทำให้เรื่องเงียบ ทำไมเขาถึงจะไม่ยอมถอยเล่า?
“ฝ่าบาท…” ถึงแม้เขาจะยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว แต่ทว่าใบหน้าของซูหลินยังคงแกล้งทำเป็นหงุดหงิดไม่พอใจ
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้อ๋องฉางซุ่นร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลี่รุ่ยเสียง เดี๋ยวเจ้ากลับไปดูที่ห้องเก็บของส่วนตัวของข้า ไปดูหน่อยว่ามียารักษาขนานดีอะไรบ้าง จัดเตรียมมาให้หน่อย ถือซะว่าเป็นสินน้ำใจของข้ามอบให้อ๋องฉางซุ่นก็แล้วกัน” ทว่าฮ่องเต้กลับรีบพูดขึ้นไม่เปิดช่องโหว่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งโกรธโมโหเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อฮ่องเต้เป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้น พวกเขาเองก็ไม่มีเหตุผลมากเพียงพอ จึงพูดอะไรออกไปไม่ได้
ซูหลินเองก็รู้จักพอ ทำความเคารพฮ่องเต้ด้วยสีหน้าไม่บอกบุญเท่าไรนัก “ข้ากระหม่อมขอขอบพระทัย ในพระกรุณาธิคุณครั้งนี้แทนท่านพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไปเถอะ!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะ งั้นข้ากระหม่อมขอตัวลาก่อน!” ซูหลินทำความเคารพขึ้นอีกครั้ง จับชุดแล้วลุกขึ้นยืน ก้าวเดินถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อเขาออกไปแล้ว ฉู่อี้หมินก็พยายามเค้นแรงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พวกคนสกุลซูนั้นช่างเหิมเกริมยิ่งนัก พวกมันไม่เคยเห็นท่านพ่ออยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำไป…”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ?” ฮ่องเต้เปลี่ยนสีหน้าขึ้นทันที ตะโกนด่าเขาอย่างโหดเหี้ยม หยิบถ้วยชาข้างกายโยนใส่อย่างแรง
เดิมทีฉู่อี้หมินก็บาดเจ็บอยู่แล้ว ก็ยิ่งขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้
ฉู่ฉีเหยียนเอาตัวเข้ามาปกป้องเขาไว้ น้ำชาสาดกระเซ็น จนทำให้เขาเปียกไปทั่วตัว
“เจ้า…เจ้า…” ฮ่องเต้เท้าแขนยืนขึ้นอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แขนที่ยกขึ้นชี้นิ้วใส่ฉู่อี้หมินสั่นไม่หยุด สุดท้ายก็ตะโกนด่าออกมาแค่ว่า “ออกไปซะ! เจ้าไสหัวออกไปซะ! ทั้งชีวิตนี้อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกเป็นอันขาด!”
ตอนเริ่มพูดยังเสียงดังเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ถึงท้ายประโยคแล้ว น้ำเสียงก็กลายเป็นแค่เสียงที่ตะโกนขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนขวัญหาย ถึงแม้ในใจจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ทำได้เพียงรีบร้อนหนีออกมาจากตรงนั้น
พวกองครักษ์ช่วยพยุงตัวฉู่อี้หมินออกมา
ตอนที่พวกเขารอเกี้ยวมารับที่ลานกว้างหน้าตำหนัก ฉู่ฉีเหยียนก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย
คนแซ่เจิ้งร้องไห้จนตาแดงก่ำ จับมืออีกฝ่ายขึ้นอย่างหมดความสามารถ พูดขึ้นเสียงสั่นว่า “ดูท่าครั้งนี้ฮ่องเต้คงจะเหลืออดกับพวกเราเข้าแล้วจริงๆ เหยียนเอ๋อร์ พวกเราจะทำอย่างไรต่อดี? ครั้งนี้พระองค์ไม่อยากเห็นหน้าพ่อของเจ้าแล้วจริงๆ ตอนนี้ฮองเฮาเองก็สิ้นแล้ว…”
คนแซ่เจิ้งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอนาคตของตนมืดมนเหลือเกิน น้ำตาก็พลันไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ร้องไห้ นี่เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกรึ!” ฉู่อี้หมินตะโกนด่าเสียงดังลั่น “เจ้าจัดการควบคุมดูแลเรื่องท้ายเรือนยังไง ถึงได้ปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหลายครั้งหลายหน เจ้ายังหน้ามาร้องไห้อีกหรือไง?”
เสียงสะอื้นของคนแซ่เจิ้งติดอยู่ที่ลำคอ หยุดเงียบชะงักลงไปในทันที ยิ่งทำให้นางรู้สึกน้อยใจยิ่งกว่าเดิม
ฉู่ฉีเหยียนยกมือขึ้นตบไหล่นางเบาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อเกี้ยวมาถึง เขาก็พาตัวฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวอย่างดี หันไปมองห้องทรงอักษรที่อยู่ด้านหลังหนึ่งครั้ง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย จากนั้นค่อยมุดตัวเข้าไปนั่งในเกี้ยว
ตอนที่เกี้ยวทั้งสามมาถึงประตูวัง นอกจากรถม้าของจวนอ๋องหนานเหอแล้ว พวกเขายังเห็นฉู่สวินหยางที่รออยู่ด้านนอกนั่นอีก
ด้วยความที่ฉู่อี้หมินบาดเจ็บหนัก คนแซ่เจิ้งเลยไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องอื่นมากนัก นางจึงพยุงตัวเขาขึ้นไปบนรถม้าทันที
เมื่อพวกเขาขึ้นนั่งกันเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ฉู่ฉีเหยียนก็สั่งให้หลี่หลินอารักขารถม้ากลับไปที่จวนก่อน ส่วนตัวเองก็หันหลังกลับมา แล้วเดินเข้าไปหาฉู่สวินหยาง
—————————————————
[1] กฎเจ็ดขับ คือกฎที่ฝ่ายสามี “ขับ” ภรรยาออกจากบ้านหากมีพฤติกรรมตรงกับข้อใดข้อหนึ่งใน “เจ็ดขับ” เจ็ดข้อที่ว่านั่นก็มี ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี ไม่มีบุตร คบชู้ อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง พูดมาก และลักขโมย