สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 37.2 แสร้งทำเป็นโดนเชือดคอ! (2)
คนเฉกเช่นนาง จะมองอย่างไรก็ควรจะประสาเรื่องเช่นนี้ในยุทธภพอยู่บ้าง
คนที่คมมีดเปื้อนเลือดอย่างไม่หยุดหย่อน หลายปีมานี้เขาก็พบมามาก ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่กินข้าวร่ำสุรา ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับ…
จะพูดอย่างไรดี ภายนอกดูแข็งกระด้าง ยามดื่มสุรากลับดูฝืนๆ เสียอย่างนั้น เก้กังราวกับเป็นกุลสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ก็มิปาน
ซูอี้ทอดสายตามองนาง แววตาพลันเปลี่ยนเป็นเข้มลึกโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังแฝงไปด้วยท่าทีพิจารณาและหยอกล้อ
หญิงสาวเหลือบมองเขาอย่างเย็นเยียบ คล้ายกับไม่พอใจที่ถูกเขาจ้องมองอยู่เช่นนี้ หยัดกายขึ้น ก่อนจะสะบัดแขน เอาเสื้อคลุมสีเงินยวงที่กลมกลืนกับแสงจันทร์ที่กำลังจะลับไปนั้นล่วงลงกับพื้น
นางหมุนกายยกดาบยาวของตนขึ้น
“เฮ้!” ซูอี้รีบก้าวพุ่งไปด้านหน้า คิดที่จะจับข้อมือของนางเอาไว้
แต่เห็นได้ชัดว่าฝีมือของนางมีความคล่องตัวกว่าเขาเสียอีก ก่อนที่จะเสียท่า เขาก็หมุนกายหลบในชั่วพริบตา ใช้แขนสองข้างสกัดทางของอีกฝ่ายเอาไว้ กล่าวยิ้มอย่างทีเล่นทีจริง “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าก่อนหน้านี้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”
ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ หากพูดว่านางเป็นองครักษ์ลับที่คอยรับคำสั่งจากฮ่องเต้ ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา แต่วันนี้นางกลับไม่ได้ฆ่าปิดปากเขาเพื่อดำเนินภารกิจแต่อย่างใด กระทั่งยังให้เขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงโดยไม่ขุ่นเคืองอะไร ที่สำคัญที่สุด…
เรื่องของเทศกาลสารทจีนในวันนั้น ยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เกรงว่าจะต้านนางไว้ไม่ได้ จึงรีบเอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็ว “การลอบสังหารทั่วป๋าไหวอันและซุ่มโจมตีซูหลินนั้น เจ้าล้วนแต่ปฏิบัติตามคำสั่ง เรื่องนี้ข้าเข้าใจได้ แต่ว่าคดีฆาตกรรมบนถนนไฉ่ถังในเทศกาลสารทจีนครั้งที่แล้ว
ดูเหมือนจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ชายแก่ผู้นั้นเป็นเจ้าที่สังหารรึ? คดีเลือดที่โรงเก็บศพเจ้าก็เป็นผู้ลงมือ? ทำไมล่ะ? คนผู้นั้น…เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น นี่…คงไม่ใช่เป็นคำสั่งของเบื้องบนที่สั่งให้เจ้าทำใช่หรือไม่?”
สายตาของหญิงสาวนั้นประกายเยือกเย็นขึ้นมาทันที บิดข้อมือออก พุ่งขึ้นไปด้านหน้า ขณะเดียวกันก็บีบซูอี้ให้ถอยหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางพลิกดาบยาวในมือกลับขึ้นมา คมมีดนั้นได้ครูดลงไปบนผิวคอของซูอี้
ซูอี้เผลอกลั้นลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไปด้วย ถอยหลังไปอีกกี่ก้าว ท้ายที่สุดหลังก็ชนเข้าอย่างจังกับต้นฉัตรจีน
“หากเจ้าไม่หุบปาก ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย!” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปิดปากพูดขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ แทบจะไม่มีอารมณ์อื่นมาผสมปนเปแม้แต่น้อย
ซูอี้หลุบตาต่ำมองดาบยาวที่อยู่ตรงลำคอ…
ผู้หญิงคนนี้มีพลังเหี้ยมหาญเป็นอย่างมาก เขารู้สึกถึงได้ เดิมก็อดไม่ได้ที่ในใจจะบีบรัดแน่น แต่เวลานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
เขากลับเอนหลังพิงต้นไม้นั้นด้วยท่วงท่าสบายๆ “จะฆ่าปิดปากข้าจริงๆ งั้นหรือ?”
ขณะที่พูด ไม่รั้งรอให้อีกฝ่ายได้ตอบคำถาม ก็ใช้สองนิ้วคีบคมดาบนั้นผลักออกไปอย่างระวัง หัวเราะขึ้นมา ยังคงส่ายหน้ากล่าว “หากเจ้ามีใจที่จะคิดฆ่าข้าปิดปากจริงๆ ก็คงไม่พูดไร้สาระเช่นนี้กับข้าหรอก!”
เขากลับแสดงท่าทีอย่างรู้ดีในใจอยู่แล้ว
หญิงสาวตกตะลึงไป เป็นครั้งแรกที่นางสติหลุดไปสักพัก
ซูอี้เมื่อเห็นว่านางเสียอาการ นัยน์ตาก็ประกายแสงวาบเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลักคมดาบในมือนางขึ้นไปด้านบนทันที
การกระทำนี้ ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย!
หญิงสาวนั้นตกใจ รีบดึงมือออก ก่อนจะถอยออกไปอย่างที่คาดไว้
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็ถลาตามไปด้านหน้า ถือโอกาสนั้นพลิกจับข้อมือนาง
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการนั้น
ฝีมือนางนั้นยอดเยี่ยม แต่อย่างไรซูอี้ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หากจะต่อสู้ตัวต่อตัวจริงๆ นางยังนับว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ซูอี้ราวกับได้คาดคะเนเรื่องพวกนี้ล่วงหน้ามาอย่างดี ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ทำอันใดก็ใช้แรงบีบบังคับไปยังด้านหน้า
ฝีเท้าของนางถูกบังคับให้เดินล่าถอยไปด้านหลัง สุดท้ายแผ่นหลังก็ชนกับลำต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
บนต้นไม้นั้นมีใบไม้เหลืองแห้งพลิ้วไสวอยู่ครึ่งหนึ่ง จึงร่วงหล่นลงมาบนไหล่ของนาง
ซูอี้ฉีกยิ้มกว้าง ยกมือจับใบไม้นั้นขึ้นมา ยิ้มอย่างสบายใจ “เหตุใดจึงไม่ฆ่าข้าล่ะ? นี่ไร้เหตุผลสิ้นดี ลองอธิบายมาให้ข้าฟัง มิเช่นนั้น…”
ขณะที่เขาพูดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กลับแฝงเล่ห์นัยอย่างเห็นได้ชัด “สหายร่วมงานพวกนั้นของเจ้าอีกเดี๋ยวก็คงจะตามมาสินะ!”
“ปล่อย!” หญิงสาวลองรวบรวมกำลังทั้งหมดผลักมือเขาออกไป ทว่าเรี่ยวแรงนั้นเมื่อเทียบกับเขากลับยังคงแตกต่างอยู่เล็กน้อย
หากจะฆ่าคนในระยะประชิดนางทำได้แน่ แต่ว่าก็เป็นดังที่ซูอี้พูด…
นางไม่อาจฆ่าเขาได้!
สุดท้ายหญิงสาวก็มีอาการร้อนรนขึ้นมา พลิกข้อมืออีกข้างที่ถูกกดไว้ด้านหลัง ฉับพลันในชุดคลุมสีดำด้านหลังก็ปรากฏมีดโค้งรูปร่างแปลกประหลาดขึ้นมา ไม่พูดอะไรมากความก็ลากไปด้านหน้าของซูอี้ทันที
ซูอี้ตกใจ รีบปล่อยมือตามสัญชาตญาณ ดึงกายถอยหลบออกจากคมดาบนั้น สบถหงุดหงิดอยู่ในใจขึ้นมาทันที
เขาลืมไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่ได้พบเจอสองครั้ง หญิงสาวผู้นี้มักจะพกอาวุธเป็นดาบโค้งที่หุ้มห่ออย่างแน่นหนาติดตัวอยู่เสมอ
เขาถอยหลังได้อย่างรวดเร็ว กลับยังคงโดนใบมีดที่แฝงมาด้วยลมหนาวเหน็บบาดเข้าที่ชุดคลุมด้านนอกจนฉีกขาด
ก้มศีรษะมองบนร่างตนเองไปหนึ่งที สีหน้าของซูอี้ก็เปลี่ยนเป็นทำอะไรไม่ถูกในฉับพลัน
หญิงสาวคนนั้นถูกเขาบีบจนโมโห ยังรุกคืบขึ้นมาควบคุมตัวเขาไว้ ก่อนจะพลิกมือบิดแขน ซูอี้ที่ตั้งรับอย่างไม่ทันจึงถูกนางใช้เข่าข้างหนึ่งตรึงร่างไว้กับพื้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นับว่าเสียหน้าไปจนถึงสกุลแล้ว
ใบหน้าที่เผยท่าทีเงียบสงบของซูอี้ในที่สุดก็ข่มเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
ป่ารกร้างไกลๆ นั้นปรากฏเสียงผู้คนย่ำฝีเท้าลงบนใบหญ้า บีบวงล้อมใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเป็นองครักษ์ลับคนอื่นที่จัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว จึงมารายงานผลภารกิจ
ซูอี้บิดศีรษะหันไปมอง คิ้วขมวดมุ่นแน่น กลับกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา เจ้ามีใจทรยศพวกเขา? แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนของใครกันแน่? เจ้า…”
พูดได้ครึ่งเดียว หญิงสาวก็พลิกมืออีกข้างที่มีดาบโค้งอยู่ในมือ ใช้ศอกสับไปที่หลังคอของเขาอย่างไม่ออมแรง
ตาทั้งสองข้างของซูอี้เหลือกขึ้น
หญิงสาวก็ผลักเขาออกไป ซูอี้จึงถลาลงคว่ำไปอยู่บนพื้นหญ้าแห้งเหลืองตรงหน้า พลันหมดสติทันที
หญิงสาวกลับไปมองเขาเพียงครู่ เก็บดาบโค้งเข้าที่ก่อนจะสางผมสองสามครั้ง หยิบดาบยาวที่ตกบนพื้น วาดขึ้นมา
ตวัดประกายดาบอย่างรวดเร็ว ฉับพลันลำคอของซูอี้นั้นก็ถูกเปิดออกเป็นบาดแผล เลือดสีแดงฉานไหลออกมาทันที
“หัวหน้า!” คนชุดดำไม่กี่คนพุ่งมาด้านหน้าด้วยความรวดเร็วปานฟ้าแลบ
หญิงสาวนั้นเก็บดาบเข้าฝัก ยามที่เงยหน้าก็ดึงผ้าคลุมสีดำมาปกปิดใบหน้าอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
ซูอี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ศีรษะบิดหันไปทางหนึ่ง ใบหน้านั้นถูกหญ้ารกชัฏบดบังจนไม่เห็นหน้าที่แท้จริง
คนชุดดำกลุ่มนั้นกวาดสายตามองเลือดหยดไหลจากบาดแผลที่คอของเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ประสานมือกล่าวกับหญิงสาวคนนั้น “จัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดแล้ว สามารถกลับไปรายงานผลภารกิจได้ แต่ว่าฝ่ายทางการด้านนั้น…”
“พวกเรามีหน้าที่ฆ่าคนเท่านั้น ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบไป!” หญิงสาวกล่าว น้ำเสียงราบเรียบไม่ขึ้นไม่ลงแม้แต่น้อย ระหว่างที่พูดก็ยกเท้าก้าวข้ามร่างของซูอี้ที่นอนคว่ำหน้าออกไป
คนชุดดำนั้นแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ถามความเป็นมาของซูอี้ ล้วนแต่รีบเร่งตามไป
การสังหารผู้คนนั้นล้วนนับเป็นเรื่องที่ปกติที่สุดของคนอย่างพวกเขา
กลุ่มคนสิบคน รูปร่างปราดเปรียว พริบตาเดียวก็ลับตาไปท่ามกลางความเงียบสงบและลึกล้ำของคืนที่มืดมิด หายไปก่อนที่แสงสว่างยามรุ่งอรุณจะมาถึง
ลั่วสุ่ยและโม่เสว่ตามมาถึงก็เป็นเวลาหลังจากประมาณหนึ่งถ้วยชา[1] แล้ว เมื่อพบว่าซูอี้นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ทั้งยังเห็นลำคอของเขาถูกโลหิตชโลมไปทั่วเสื้อ จึงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
“คุณชาย!” ทั้งสองคนถลาเข้าไปพยุงคนขึ้นมา รีบร้อนยื่นมือไปวัดลมหายใจเขา เมื่อรู้ว่าคนยังหายใจอยู่จึงค่อยโล่งใจขึ้นมา
โม่เสว่ควักเอายาจินชวง[2] ออกมาจัดการกับบาดแผลให้เขา ด้านลั่วสุ่ยไม่กล้าที่จะปล่อยเวลาให้ล่าช้าแม้แต่นิดเดียวรีบร้อนไปเตรียมรถม้า พาซูอี้ไปหาหมอยังเมืองเล็กๆ ด้านข้างอย่างร้อนใจ
ตอนที่ซูอี้ฟื้นขึ้นมาก็ผ่านไปสองวันแล้ว
ลืมตามองแสงพระอาทิตย์ตกดินที่ส่องมาบนร่าง ทั้งยังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝันอยู่บ้าง ในหัวนั้นช่างว่างเปล่าจึงนอนอยู่อย่างนั้นสักพัก ตอนที่คิดจะขยับศีรษถึงค่อยรู้สึกเหมือนลำคอครึ่งหนึ่งล้วนชาขึ้นมา ราวกับไม่รู้ตัวสักนิด
“อา…” เขาสูดลมหายใจ ยกมือขึ้นจับอย่างเผลอตัว กลับถูกหมากรุกชิ้นหนึ่งลอยจากอากาศพุ่งเข้าใส่ที่ข้อมือ
คล้ายกับเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้ แม้ว่าทิศทางที่หมากรุกตัวนั้นจะพุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำ แต่แรงกลับมีไม่มาก เพียงทำให้ข้อมือเขารู้สึกชาไปเท่านั้น ไม่ได้สัมผัสถูกบาดแผลแต่อย่างใด
ซูอี้ตกใจจึงเด้งตัวขึ้นตามสัญชาตญาณ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงที่กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ลอยมาจากด้านหลัง “ในเมื่อยังไม่ตายก็รีบไปซะ อย่าเอาแต่ครองที่ของข้า!”
เหยียนหลิงจวินนั่งขัดสมาธิยู่บนตั่งอีกตัวไกลๆ ทั้งยังเล่นเดินหมากกับตนเองอย่างเบิกบานใจ น้ำเสียงนั้น…
จะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนดีอกดีใจที่เห็นคนอื่นเกิดเรื่องร้ายขึ้นเช่นนี้ ท่าทางนั้นราวกับกำลังขับไล่แมวจรจัดตัวหนึ่งที่หลงเข้ามาในอาณาเขตเขาอย่างบังเอิญก็มิปาน
ซูอี้เพิ่งจะฟื้นคืนสติขึ้นมา ในหัวยังมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง เมื่อฟังจบก็ปวดแปลบในใจไปชั่วครู่ เผยใบหน้าหงิกงอราวกับปวดฟัน กล่าวออกมา “นี่เป็นท่าทีที่เจ้าใช้ปฏิบัติกับคนป่วยรึ? อย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นคนป่วย เจ้าก็ทำ…”
——————————————–
[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา ประมาณ 10-15 นาที
[2] ยาจินชวง ยาที่ใช้ในการห้ามเลือดและรักษาบาดแผล