สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 37.4 แสร้งทำเป็นโดนเชือดคอ! (4)
คนแซ่ฟางเพียงฟังอย่างเงียบๆ เท่านั้น
เรื่องที่เกลี่ยกล่อมนางและฉู่ฉีเฟิงทั้งยังมีฉู่สวินหยางให้กระชับความพันธ์ที่ดีขึ้นนั้น หลายปีมานี้ แม่นมฉางแทบที่จะกระซิบเตือนข้างหูอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้คนแซ่ฟางล้วนแต่เงียบใส่ ภายหลังก็ยังคงต่างคนต่างไม่สนใจกัน
แม่นมฉางเมื่อพูดเสร็จก็เตรียมตัวไปจัดการห้องหับ สิบกว่าวันไม่มีคนอยู่ บนเครื่องเรือนถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นหนา
“แม่นมเหลียง…” ไม่คาดคิดว่าคนแซ่ฟางจะตอบกลับบทสนทนาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางกล่าวอย่างครุ่นคิด “อายุของสวินหยางก็เหมาะสมแล้ว ไม่กี่วันมานี้อยู่ในจวน เจ้าได้ยินข่าวลืออะไรมาหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของนาง ฝ่าบาทได้ตรัสไม่พอใจอะไรออกมาบ้างไหม?”
“ไม่มีนะเจ้าคะ!” แม่นมฉางตกตะลึงไป ขบคิดสักครู่ก่อนกล่าว “ในจวนมีกฎที่เข้มงวด ไม่มีใครกล้าพูดลับหลังเจ้านายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นว่าใต้เท้าเหยียนหลิงผู้นั้น ช่างเอาใจใส่กับอาการป่วยของพระชายาเป็นพิเศษ ได้แอบลอบถามอย่างลับๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่มีเบื้องหลังอันใด แต่ก็ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ ในอนาคตก็คงจะนับว่าเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านหญิงและองค์รัชทายาทมีความเห็นเช่นไรกัน”
“อย่างนั้นรึ?” คนแซ่ฟางกล่าวพึมพำ ราวกับเอาใจใส่เรื่องนี้เป็นอย่างมาก
แม่นมฉางคิดแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “ที่จริงแล้วเรื่องการแต่งงานของท่านหญิง พระชายาไม่จำเป็นต้องกังวลใจหรอกเจ้าค่ะ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนมีรัชทายาทคอยเฝ้าดูอยู่ จะว่าไปแล้วก็ต้องนับว่าพระชายามีวาสนาดี กำเนิดท่านหญิงมาอย่างดี ท่านหญิงของพวกเราจึงงดงามโดยธรรมชาติตั้งแต่กำเนิด เวลานี้รัชทายาทก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงพูดเรื่องการแต่งงาน มิเช่นนั้น…ก็คงจะมีคนมาสู่ขอจนหัวกระไดบ้านไม่แห้งแล้วเจ้าค่ะ?”
ขณะที่แม่นมฉางพูดก็เผยท่าทีอย่างยินดี
รูปลักษณ์ของคนแซ่ฟางไม่นับว่างดงามขนาดนั้น กลับเป็นฉู่อี้อันที่มีชีวิตชีวา มีความโดดเด่นขึ้นมาจากผู้อื่น จะพูดว่าฉู่สวินหยางถอดแบบมาจากเขาก็ไม่ผิด
คนแซ่ฟางฟังแล้ว มุมปากก็ร้อยเรียงเป็นรอยยิ้มขึ้นมา มองไปด้านนอกเรือนที่ว่างเปล่าหลังจากฉู่สวินหยางออกไปก่อนกล่าวทวนด้วยเสียงเบาอีกครั้ง “ใช่แล้ว เด็กคนนั้นงดงามตั้งแต่กำเนิด!”
ขณะที่พูด นางก็หลับตาจับลูกประคำอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะหลับลงพร้อมกัน ในดวงตานั้นก็มีแสงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม่นมฉางกำลังจัดการกับความคิดตนเอง ใช้เศษผ้าชื้นเช็ดไปตามโต๊ะเก้าอี้ด้วยความปลาบปลื้มใจเช่นกัน
ฉู่สวินหยางออกมาจากอารามเมตตา ตอนที่กำลังออกจากประตูมา ก็รู้สึกว่าบรรยากาศด้านนอกแปลกๆ เมื่อเงยหน้ากลับพบว่ากลุ่มของจูหย่วนซานและเจี๋ยหงนั้นราวกับเตรียมพร้อมอะไรบางอย่าง ทั้งยังเผยสีหน้าที่ไม่ยินดีไปยังทิศทางลงเขา
“ท่านหญิง!” เห็นว่านางออกมา เจี๋ยหงก็เดินเข้ามาก่อนหนึ่งก้าว
ฉู่สวินหยางเหลือบตาขึ้น มองไปตามสายตาของกลุ่มคน กลับพบว่าใต้ต้นหยางตรงทางลงเขา มีผู้หนึ่งกำลังยืนมือไพล่หลังรออยู่
เสื้อคลุมสีเขียวต้นสน สวมกวานและเข็มขัดหยก ยืนตระง่านสูงเด่น…
กลับเป็นฉู่ฉีเหยียน
เจี๋ยหงดึงชายเสื้อฉู่สวินหยางไว้ด้วยความเป็นห่วงอยู่บ้าง
ฉู่ฉีเหยียนเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลังก็หันกลับมามอง
การปรากฏตัวของฉู่ฉีเหยียนนับว่าเหนือความคาดหมายของฉู่สวินหยางอยู่มากเลยทีเดียว นางแตะมือเจี๋ยหงอย่างปลอบประโลมแล้วก็เดินออกไปทันที กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านคงไม่ได้ตั้งใจมาหาข้าหรอกกระมัง?”
ฉู่ฉีเหยียนแย้มยิ้ม ยกมือดึงกิ่งไม้ที่บดบังอยู่ด้านหน้าออก ก่อนจะเดินไปด้านหน้าต่ออีกสองก้าว กลับมองไปที่ประตูใหญ่ของอารามเมตตาด้านหลังนาง ไม่ตอบอะไรก็ถามออกไป “ความสัมพันธ์ของเจ้าและพระชายา ดูเย็นชาเสียจริง!”
เขามองดูฉู่สวินหยางและคนแซ่ฟางสองคนแม่ลูกลงจากรถอยู่ไกลๆ ทั้งสองคนแม้แต่จะพูดสักคำก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย และเป็นฉู่สวินหยางที่เห็นได้ชัดว่าเข้าไปแล้วก็รีบย้อนกลับออกมาทันที
ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใช่แล้ว! ข้าและท่านพี่ตั้งแต่เด็กก็ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับท่านแม่ ไม่คุ้นเคยกันก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ทำไมหรือ…ท่านตั้งใจมาหาข้าที่นี่ คงไม่ใช่แค่ว่า…มาเพียงเพื่อลอบสังเกตครอบครัวของข้าหรอกนะ?”
ฉู่ฉีเหยียนเห็นนางดูคุยอย่างสนุกสนาน จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางรู้ว่าเขากำลังสับสน ก็ไม่ได้ขัดอะไรออกไป
รวบรวมสติสักครู่ ฉู่ฉีเหยียนจึงถอนหายใจ กล่าวว่า “มาตกลงแลกเปลี่ยนกันหน่อยเถิด! เรื่องของจวนอ๋องฉางซุ่น…ข้าจะปรานีซูอี้ไว้ หากเจ้าบอกเบาะแสจางอวิ๋นอี้ให้ข้า!”
วันนั้นเขาลงมาจากวัดก่วงเหลียนก็ให้หลี่หลินไปจัดการเก็บจางอวิ๋นอี้ ทว่าไม่คาดคิดว่า อีกฝ่ายกลับได้ยินข่าวลือตั้งนานจึงหลบหนีไปก่อนหนึ่งก้าวแล้ว เขาตรวจสอบอย่างลับๆ มาโดยตลอดจนถึงวันนี้ คนผู้นั้นกลับเหมือนระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ก็มิปาน ไม่มีร่องรอยให้สืบเสาะแม้แต่น้อย
เดิมทีเขายังคิดว่าจางอวิ๋นอี้หลบหนีด้วยตนเอง แต่เมื่อลองสืบหามาตลอดก็ไม่เชื่อว่าอย่างนั้นแล้ว
ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด ผู้ที่เพ่งเล็งเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นทั้งยังเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง นอกจากฉู่สวินหยางแล้วก็เป็นใครไปไม่ได้อีก
เขามาหาจนถึงหน้าประตู ฉู่สวินหยางไม่ตกใจแม้แต่น้อย ทั้งยิ้มให้อย่างใจกว้าง แต่กลับสั่นศีรษะอย่างแน่วแน่
“ไม่ เบี้ยที่เจ้าใช้แลกยังไม่ดึงดูดพอ ข้าปฏิเสธการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของเจ้า ”
พูดจบก็หมุนกายเดินไปทางรถม้า
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ขวางทางนาง เพียงแต่มองแผ่นหลังของนาง เปล่งเสียงถามขึ้นว่า “นางไม่มีกำลังใดใด ที่จะคุกคามเจ้าได้อีกแล้ว จากนิสัยของเจ้า ไม่จำเป็นที่จะต้องสิ้นเปลืองเวลาและกำลังเพื่อคนอย่างจางอวิ๋นอี้สักนิด อีกทั้งเจ้าก็รู้ว่า…เงื่อนไขที่ข้ามอบให้เจ้ามีค่าตอบแทนมากเพียงใด!”
ฉู่หลิงอวิ้นในวันนี้ นอกจากทางที่เหลืออยู่ที่เต็มไปด้วยความแค้นนั้น แท้จริงแล้วไม่ว่าจะกระทำอันใดก็ไม่อาจสำคัญอีกแล้ว
นิสัยของฉู่สวินหยางนั้น ฉู่ฉีเหยียนสามารถมองออกอยู่บ้าง เดิมทีนางก็ไม่ใช้วิธีลับๆมาเหยียดหยามกับผู้หญิงด้วยกันเองอยู่แล้ว เวลานี้เรื่องราวผ่านไปแล้ว นางก็ไม่ควรจะจับไม่ปล่อย ทั้งยังไม่น่าเอาเรื่องเล็กเรื่องน้อยไปคิดบัญชีกับฉู่หลิงอวิ้นอีก
ฝีเท้าของฉู่สวินหยางหยุดชะงักลง คิดอยู่สักพักก่อนจะหันกลับมา แววตานั้นกลับเปลี่ยนเป็นดุดันในชั่วพริบตา มองไปที่ฉู่ฉีเหยียน “อ๋องฉางซุ่น…โต้กลับแล้วรึ?”
นางถาม กลับเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่น
ฉู่ฉีเหยียนเม้มริมฝีปาก คล้ายกับยอมรับโดยปริยาย
ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาทันที “เจ้ามีฝีมืออย่างที่คิดจริงๆ ด้วย คอยผสมโรงโต้กลับสกุลซู ตอนนี้แม้ว่าพวกเจ้าสองสกุลจะมีความอาฆาตแค้นอะไรกันอีก…มีฝ่าบาทคอยออกหน้าลงมือกับสกุลซู จะข่มขู่อย่างไรก็คงไปไม่ถึงตัวเจ้าแม้แต่น้อยแน่!”
หากจะครุ่นคิดขึ้นมาอย่างจริงจัง การโต้กลับสกุลซูนั้นน่าจะเป็นความต้องการร่วมกันของฮ่องเต้และฉู่ฉีเหยียนเอง
บางทีตั้งแต่เริ่มฮ่องเต้ก็อาจจะคาดไว้แล้ว ว่าฉู่ฮีเหยียนจะเอาเรื่องนี้มาบีบคั้นและประจวบเหมาะที่ฮ่องเต้ต้องการให้อีกฝ่ายมา ผสมโรงจัดการหมากตานี้ให้สำเร็จแทนเขา
ดังนั้น…
ฮ่องเต้สังหารคน ฉู่ฉีเหยียนก็อำพรางคดีในที่เกิดเหตุ อาศัยช่องโหว่มากมายจากคดีสังหารที่เห็นได้ชัดนี้ ยั่วซูหังให้เกิดโทสะ
สถานการณ์ตอนนี้แทบไม่ต้องคิด ฉู่สวินหยางก็รู้ว่า…
เพราะว่าเกิดปะทะกันภายในสกุลซู ซูหลินจึงถูกองครักษ์ลับสังหาร ซูหังก็ไม่นึกบุญคุณฮ่องเต้อีกแล้ว หักล้างคำให้การ ต้องการบันทึกหนี้เลือดนี้ไว้ที่ตัวฮ่องเต้
สกุลซูเป็นปรปักษ์ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นการโต้แย้งอย่างไร้เหตุผล ทั้งไม่มีคำอธิบายอย่างแน่ชัด ฮ่องเต้ส่งกองกำลังไปปราบปราม ก็ไม่ใช่ว่าพอข้ามแม่น้ำได้ก็รื้อสะพานทิ้ง[1]เสียทีเดียว
“ข้าเพียงแค่ขอให้ได้ถึงจุดหมายเท่านั้น ไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการอันใด” ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนนั้นเรียบเย็น ไม่มีความยินดีทั้งยังไม่พบโทสะใดใด เพียงแค่เบนกายไปทางด้านข้างเท่านั้น กล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเดาถึงแผนการของข้าได้นานแล้วหรอกหรือ? เพียงแต่ว่าท้ายที่สุด ผู้ที่ควบคุมหมากของเรื่องนี้อย่างแท้จริงก็คือฝ่าบาท ดังนั้นพวกเจ้าจึงเฝ้าคอยจังหวะโจมตี รอให้เรื่องนี้เกิดขึ้น!”
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่านี่ก็เป็นโอกาสที่ฮ่องเต้รออยู่ คนวังบูรพาจะต้องขัดขวางแผนการครั้งนี้ของเขาเป็นแน่
และตอนนี้…
เพราะว่าเป็นความต้องการของฮ่องเต้ ดังนั้นทุกคนล้วนรู้กันดีอยู่ในใจ ต่างก็เฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ
“การก่อกบฏของสกุลซูนั้น มีความผิดอย่างไรในใจเจ้าย่อมรู้ดี แม้ว่าจะพักอคติของฝ่าบาทไว้ ไม่ยกขึ้นมาพูด ใช้แต่กฎของแคว้นมาตัดสิน…สกุลซูเก้าชั่วโคตร ซูอี้ก็จะเผชิญกับเรื่องนี้เป็นคนแรกเช่นกัน” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว “ดังนั้นเงื่อนไขที่ข้ายื่นให้ไม่ถือว่าไร้เมตตา หนึ่งได้หนึ่งเสีย ใช้จางอวิ๋นอี้แลกกับชีวิตสงบสุขอีกครึ่งหนึ่งของซูอี้ เจ้าไม่เสียเปรียบ!”
เรื่องของจางหลิงอวิ้นก็เกิดไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าจะยกออกมาพูดก็เพียงเพิ่มเสียงหัวเราะให้มากขึ้นเท่านั้น สำหรับจวนอ๋องหนานเหอในวันนี้แล้ว แทบจะไม่รู้สึกแสบคันเลยสักนิด
แต่ว่าสกุลซูเกี่ยวพันกับคดีกบฏร้ายแรง ซูอี้ที่เป็นลูกหลานสายตรงของสกุลซูนั้น…
ไม่ว่าเขาจะรู้เห็นด้วยหรือไม่ ก็ล้วนแต่ต้องตายด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่สวินหยางประกายตาเย็นเยียบ “นี่ท่านเชื่อว่าข้าจะตอบรับแน่ๆ อย่างนั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนจ้องตานางอย่างไม่หลบหลีกสายตา “เจ้าสามารถปฏิเสธได้!”
สิ่งที่เรียกว่า ‘น้ำใจ’ ฉู่ฉีเหยียนรู้สึกว่าฉู่สวินหยางอย่างไรก็ต้องมีอยู่บ้าง เด็กสาวคนนี้แม้ว่ามักจะกระทำการอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมทั้งยังเหี้ยมโหด แต่ว่าการตัดสินเรื่องสำคัญนั้นกลับทำให้คนอื่นรู้สึกนับถืออยู่เสมอ
ฉู่สวินหยางมองเขา แทบไม่ต้องคิดก็ยิ้มเย็นออกมา กล่าวเสียงดัง “เช่นนั้นก็ดี! ข้าขอปฏิเสธ!”
ฉู่ฉีเหยียนตกตะลึง ที่เรื่องนี้เหนือความคาดหมาย
ฉู่สวินหยางก็แทบไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้ ก็ยกกระโปรงขึ้นเดินไป แม้แต่ศีรษะก็ไม่หันกลับไป ผลุบเข้าไปในรถม้า
ขบวนรถม้าจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ทั้งพาควันฝุ่นตลบอบอวลอยู่นานไม่จางหาย
ฉู่ฉีเหยียนเผยใบหน้าเยียบเย็น ยืนทอดสายตาอยู่ใต้ต้นไม้
หลี่หลินเข้ามาจากที่ไกลๆ กล่าวรายงานอย่างจริงจัง “ซื่อจื่อ สาสน์ที่ท่านขอรับผิดชอบในการส่งทหารไปปราบจลาจล ถูกเลื่อนส่งขึ้นไปใช่หรือไม่? บ่าวว่าท่านหญิงสวินหยางผู้นี้ยังมีอุบายอื่นอีกแน่ขอรับ!”
เมื่อฉู่ฉีเหยียนออกเดิน ฉู่อี้หมินเดิมทีก็ควบคุมสถานการณ์ที่นี่ไว้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเรือนหลังเกิดปะทุขึ้นมาก็คงจะจัดการไม่ทันเป็นแน่
“หมากตานี้ ข้าก็ต้องเป็นคนเลือกอย่างนั้นรึ?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวอย่างเยือกเย็น เก็บสายตาที่มองไปไกลๆ นั้นกลับมาอย่างไม่แยแส “น้ำขึ้นอย่างไรก็ต้องรีบตัก ความดีความชอบทางการทหารครั้งนี้ข้าจะแย่งมาไว้ในมือให้จงได้!”
สิ่งที่เรียกว่าการช่วยเหลือของครอบครัว เขานั้นไม่สามารถพึ่งพาได้อีกแล้ว นับแต่นี้ต่อไปจำต้องค่อยๆ ไล่ตาม อาศัยกำลังตัวเองครองตำแหน่งในใจฮ่องเต้!
————————————————-
[1] พอข้ามแม่น้ำได้ก็รื้อสะพานทิ้ง อุปมาว่า พออีกฝ่ายหมดประโยชน์แก่ตน ก็ถีบหัวส่ง