สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 38.3 เหยียนหลิงจวิน พี่ชายภรรยาของเจ้าลักพาตัวสะใภ้หนีไปแล้ว! (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 38.3 เหยียนหลิงจวิน พี่ชายภรรยาของเจ้าลักพาตัวสะใภ้หนีไปแล้ว! (3)
ฉู่ฉีเฟิงแย้มสรวล ท่าทีดูอ่อนโยน หยัดกายนั่งตัวตรงยกมือลูบเส้นผมด้านหลังของนาง ถามกลับอย่างทีเล่นทีจริง
“ว่าอย่างไรเล่า? เจ้าชอบเขาใช่หรือไม่?”
ดวงตาของฉู่สวินหยางเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงในทันที อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาตรงๆ ต่อหน้าเช่นนี้
ท่าทีตะลีตะลานนั้นล่องลอยไป ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงออกมาด้วยความขวยเขิน ผลักมือเขาออกไป ก่อนจะเบิกตาแยกเขี้ยวใส่เขา กล่าวด้วยเสียงดัง “ท่านพี่ คำพูดเช่นนี้ เหตุใดไม่นึกอายสักนิด ถามออกมาตรงๆ อย่างนี้เล่า?”
ฉู่ฉีเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยกถ้วยชาด้านข้างขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ยังคงกล่าวยั่วเย้าอย่างเจ้าเล่ห์
“มีอะไรที่ต้องอายรึ? พี่ชายก็ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย!”
ฉู่สวินหยางมองเขา เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขำขันดี
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่านางจะมีอายุจนไปถึงยี่สิบปี แต่เมื่อกลับมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็ยังคงเป็นเด็กที่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่ชายคนนี้เช่นเดิม และตัวนางเอง…
ก็ยังคงเต็มใจนอนเฉยๆ อยู่ภายใต้ปีกของเขา เป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ยอมถูกเขาปกป้องเอ็นดู
พี่น้องสองคน จ้องมองกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
ท้ายที่สุดฉู่สวินหยางก็ชะงักรอยยิ้มไว้ ย้ายเข้าไปนั่งอยู่ข้างเขา กล่าวอย่างพินิจชั่วครู่ “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลอะไรอยู่ อย่างไรข้าก็มีแผนในใจอยู่แล้ว!”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผนในใจอยู่แล้ว” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มออกมา ยกมือดันศีรษะนางมาพิงกับไหล่ของตน แววตานั้นครุ่นคิดและดูห่างไกลออกไป “แต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก แม้ตอนนี้เจ้าจะพูดว่ามันสวยงามหรือไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ภายหลังอย่างไรก็ไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกได้ตลอดไปหรอก ถือโอกาสตอนที่เจ้ายังสามารถพูดคุยกับข้าได้อยู่เช่นนี้ ลองครุ่นคิดดูหน่อยดีหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางหลับตาลง ยกมุมปากขึ้น “ข้าไม่อาจ…”
“ไม่อาจจริงๆ อย่างนั้นรึ?” ฉู่ฉีเฟิงยังคงยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ กระทั่งยังหนักแน่นราวกับผ่านโลกมามาก ไม่เหมือนเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเลยสักนิด “หากไม่ใช่ว่าเจ้ามีความรู้สึกดีๆ ต่อเขา เหตุใดจึงยอมให้เขาเข้าใกล้ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้เล่า? สวินหยาง เจ้าสามารถหลอกตัวเองได้ แต่เรื่องทั้งหมดนั้นอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีความเป็นจริงไปได้ เจ้าชอบเขา เบื้องหลังและตัวตนของเขา เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าสามารถหลบหลีกได้ ทว่าวันข้างหน้าอย่างไรก็ต้องถึงเวลาที่จำเป็นต้องเผชิญกับเรื่องราวทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไรเล่า?”
ฉู่สวินหยางใช้แรงขบเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ กล่าวขึ้น
“เขาพูดว่า…สามารถอยู่ต่อได้!”
น้ำเสียงนางอ่อนลง แตกต่างจากยามปกติที่มักจะร่าเริงและเด็ดขาดอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง
เป็นดังที่คาด…
ระหว่างพวกเขานั้นได้พูดคุยเปิดเผยกันกับเรื่องที่จะเกี่ยวข้องในอนาคตนี้มานานแล้ว
ฉู่ฉีเฟิงยังคงเผยสีหน้าราบเรียบเช่นเคย ทว่าในใจราวกับถูกอะไรพุ่งชนเข้าใส่อย่างแรง เป็นความรู้สึกที่ไม่สบายใจคล้ายกับหายใจไม่ทันอย่างไงอย่างงั้น
“แต่ว่าเขาจะอยู่ข้างกายเจ้าไปอีกนานเท่าไรกัน?” ดึงสติกลับมาอย่างยากลำบาก ฉู่ฉีเฟิงจึงพูดขึ้นอีกครั้ง เขาลอบถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ ไม่รั้งรอให้ฉู่สวินหยางได้ตอบกลับ ก็กล่าวต่อ “หนึ่งปี? สามปี? หรือว่าห้าปี? แคว้นหนานฮวามีสถานการณ์เป็นเช่นไรในใจเจ้านั้นรู้ดี หลายปีมานี้แม้จะมีความเงียบสงบเป็นฉากหน้าก็แล้วไป แต่หากว่าไฟสงครามที่ถูกปิดบังไว้ปะทุขึ้นมา เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถปลีกตัวออกมาได้จริงๆ หรือ?”
ฉู่สวินหยางค่อยๆ เงียบลง
เหยียนหลิงจวินกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา แท้ที่จริงก็เป็นเรื่องที่นางรู้ดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นไม่ว่าเวลาใดนางก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เอ่ยขัดสาเหตุที่แท้จริงที่ว่าเขาจะจากไป
เพียงแต่ในเวลานี้ ถ้าเป็นยามปกติแล้ว นางก็จะมักจงใจแสร้งให้ตัวเองไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไปเสีย
“แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แต่ว่าครอบครัวและญาติสนิทของเขา คนพวกนี้กลับมิอาจละทิ้งไปได้” ฉู่ฉีเฟิงเมื่อเห็นนางไม่พูด ก็พูดด้วยใจจริงต่อไป “สวินหยาง เจ้าฉลาดขนาดนั้น ที่จริงแล้วไม่ว่าอะไรเจ้าก็สามารถเข้าใจได้ดีไม่ใช่หรอกหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงจะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ด้วยเล่า? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าภายภาคหน้าคนที่ข้าจะเห็นว่าโศกเศร้าเสียใจนั้นก็ยังคงจะเป็นเจ้า!”
“ท่านพี่…” น้ำเสียงของฉู่สวินหยางอ่อนลง คล้ายกับสะอื้นอยู่รางๆ
สิ่งที่เรียกว่าความรัก สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่สูญเปล่า นางล้วนแต่เข้าใจมาโดยตลอด
ทุกคำที่ฉู่ฉีเฟิงกล่าวก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรื่องที่นางทำมาในเวลานี้เป็นการเอาตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาจริงๆ
นางหันไป ฝังใบหน้าลงกับหัวไหล่ของฉู่ฉีเฟิง
“สวินหยาง พี่ก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเจ้าหรอก แต่ว่า…” ตอนที่เขากำลังพูด เสียงกลับหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน
เขายกมือลูบเส้นผมของนาง “หากเป็นไปได้ เปลี่ยนคนที่ชอบไม่ดีกว่ารึ?”
ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองสบตาเขา
ฉู่ฉีเฟิงฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “ท่านพ่อ…เขาก็ทำใจไม่ได้ที่เจ้าจะแต่งไปไกลบ้าน!”
“ท่านพี่ ข้าไม่ไปที่ไหนทั้งนั้นแหละ ข้าจะอยู่กับท่านและท่านพ่อตลอดไป” ฉู่สวินหยางกล่าว ขยับศีรษะออกจากหัวไหล่ของเขา หยัดกายนั่งตรง มองเข้าไปในแววตาของเขา “ในใจของข้า ท่านพ่อและท่านพี่เท่านั้นที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจแทนที่ได้ หากในอนาคตมีวันนั้น แม้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ ข้าก็จะ…”
ท่าทีของนางแน่วแน่ ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หัวใจของฉู่ฉีเฟิงสั่นสะท้านอย่างแปลกประหลาด หากแต่ครู่ต่อมาก็ยังคงลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู ทั้งถือโอกาสโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด ก้มต่ำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและอบอุ่นข้างหูของนาง “หากวันนั้นมาถึงจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะแยกจากข้าและท่านพ่อไป…เวลานั้น กลัวเสียแต่ว่าข้าจะอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมให้เจ้าจากไปน่ะสิ”
หากเวลานั้นมาถึงจริงๆ การแยกจากคนผู้นั้นเจ้าย่อมจะต้องเศร้าโศกเสียใจ แม้ว่าเจ้าจะยอมละทิ้งไปอย่างไม่อาจหวนกลับ แต่ว่า…
ข้ากลับไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้เจ้าแบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นอยู่ข้างหลังผู้เดียวได้หรอก
ถึงเวลานั้นข้าก็จะวางมืออย่างสง่างาม ให้เจ้าจากไป ทว่า…
ใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ เจ้าจะไม่ใช่คนที่อยู่ในกำมือของข้าอีกต่อไป ทั้งยังไม่อาจอยู่ในพันธะที่จะต้องปกป้องไว้ใต้ปีกของข้าอีกแล้ว ข้า…
จะทำอย่างไรจึงจะวางใจลงได้?
“สวินหยาง ก็เหมือนดังที่เจ้าว่า เจ้าและท่านพ่อ ล้วนเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า พี่นั้นไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ความปรารถนาเดียวของข้าก็มีเพียงอยากเห็นเจ้ามีความสุขเท่านั้น” เขาลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนที่ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้นมา ทั้งยังแฝงไปด้วยพลัง “นับว่าครั้งนี้เป็นความเห็นแก่ตัวของข้าก็แล้วกัน สวินหยาง เจ้าต้องรับปากข้า ใช้ช่วงเวลานี้ไตร่ตรองให้ดีสักหน่อย หากคำตอบของเจ้ายังเป็นเขาอยู่…”
ประโยคด้านหลัง เขากลับไม่พูดออกมาอีก เพราะว่าไม่อยากจะเห็นผลลัพธ์เช่นนั้น จึงทำได้แค่หลบเลี่ยงไปอย่างหลอกตัวเอง
ขบวนรถของฉู่สวินหยางไม่นับว่าช้า เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่หยุดหย่อน ในช่วงเย็นของวันที่ห้าก็ถึงเส้นทางของแม่น้ำหมิน
ราชโองการของฮ่องเต้ส่งมาถึงกองทัพเร็วกว่าพวกเขาหนึ่งวัน ฉู่ฉีเหยียนได้รับข่าว ก็นำทหารกว่าสามร้อยนายออกจากค่ายมาต้อนรับด้วยตนเอง
เวลานี้ก็ยังไม่พ้นจากปลายเดือนสี่ แม่น้ำและสายลมล้วนเชี่ยวกราด ยังคงรับรู้ถึงความหนาวแทรกซึมอยู่บ้าง
หลังจากทักทายอย่างปกติกับฉู่ฉีเฟิงแล้ว สายตาของฉู่ฉีเหยียนจึงค่อยเบนไปทางรถม้าคันนั้นที่ตามหลังเขามา
“รถม้านี้…”
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงตะโกนออกมา จากนั้นจึงค่อยอธิบายกับฉู่ฉีเหยียน “เด็กคนนี้จะตามข้ามาให้ได้ ข้าปฏิเสธนางไม่ได้ จึงถือโอกาสพานางออกมาปลดปล่อยจิตใจ”
ฉู่สวินหยางตามมาด้วย ยังคงเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของฉู่ฉีเหยียน ใบหน้านั้นจึงเผยท่าทีแข็งกระด้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวอยู่บ้าง
ฉู่สวินหยางลงมาจากรถม้า เปลี่ยนเป็นม้าอีกตัว เมื่อปีนขึ้นไปบนหลังม้าจึงค่อยเผยรอยยิ้มไปทางเขา “ไม่ได้กล่าวทักทายซื่อจื่อล่วงหน้า ซื่อจื่อคงจะไม่ปฏิเสธ ไม่ต้อนรับข้าหรอกใช่หรือไม่?”
————————————————–