สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 4.2 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (2)
เมื่อฉู่หลิงอวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ในใจก็ฮึกเหิมและก่อเกิดเป็นความกล้าขึ้นมา
“ใช่ ข้าไม่ทำเช่นนั้น!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย สีหน้าวังเวงคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “หากข้าคิดจะทำร้ายท่าน ตอนนั้นคงพูดไปแล้ว คงไม่รอถึงวันนี้ ใต้เท้าเหยียนหลิง ข้า…”
“หากเจ้าอยากให้ซูหลินควงกระบี่ไปหาที่หน้าจวนอีก ตอนนี้ก็ไปรายงานเรื่องนี้ที่ห้องทรงอักษรเสียเลยสิ!” เหยียนหลิงจวินตัดบทนางอีกครั้ง เอ่ยปนยิ้ม “ถึงตอนนั้นไม่ว่าเป็นเหล้าพิษแก้วหนึ่ง หรือผ้าขาวสามฉื่อ? ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำให้เจ้าเสียใจได้ทั้งนั้น!”
ฉู่หลิงอวิ้นหน้าถอดสี
เหยียนหลิงจวินก็ยังคงพูดต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เรื่องฉาวที่ตัวเองสร้างเจ้าก็ควรพยายามทุกทางเพื่อปิดให้มิด ท่านหญิงอันเล่อ ข้าเตือนเจ้าตั้งนานแล้ว เรื่องปกปิดแผนร้ายอะไรเช่นนี้ หากทำไม่ดีจะเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเอง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำมอบน้ำใจแก่ข้าหรอก ที่เจ้าปกปิดทุกสิ่งอย่างก็เพียงเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ต่างคนต่างเงียบไปไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องพูดออกมาให้เป็นเรื่องขันด้วย?”
ฉู่หลิงอวิ้นนางนี้ความคิดซับซ้อนนัก อย่างนางจะยอมพูดเรื่องสกปรกๆ ของตนออกมาเพียงเพราะแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือ?
เช่นนั้นคงจะเป็นการรนหาที่ตายโดยแน่แท้!
หากเป็นซูหว่าน อาจจะบุ่มบ่ามไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา แต่เรื่องแบบนี้ฉู่หลิงอวิ้นไม่มีทางทำอย่างแน่นอน
ฉู่หลิงอวิ้นกัดฟันกรามไว้แน่น เขม็งมองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น ไม่ได้ปริปากพูดอีก
เหยียนหลิงจวินยิ้มเยาะอย่างผ่าเผยสาวเท้าเดินต่อไป
สาวใช้สองนางที่หลบอยู่ไม่ไกลเมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ย่องออกมาอย่างระมัดระวัง ตรงไปกล่าวเตือนฉู่หลิงอวิ้นเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ยาของฮองเฮาต้มเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังจะไปห้องครัวอีกหรือไม่เพคะ?”
ฉู่หลิงอวิ้นหน้าหมองทะมึน จ้องตรงไปยังประตูวังด้านหน้าที่เปิดอยู่ไม่ขยับไปไหนพักใหญ่ และจู่ๆ ก็หันมาฟาดฝ่ามือใส่หน้าจื่อเหวยอย่างแรง
นางแรงเยอะมาก มากจนทำให้จื่อเหวยโซซัดโซเซเกือบล้มคะมำ ริมฝีปากเลือดออกซิบๆ
จื่อเหวยกอบหน้าตนขึ้นมา ก้มหน้าก้มตากัดฟันไม่พูดไม่จา
ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่พูดเช่นกัน หันหลังและมุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันที
จื่อซวี่มองจื่อเหวยทั้งตกใจทั้งสงสาร ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งตามฉู่หลิงอวิ้นไป
จื่อเหวยบาดเจ็บที่หน้าเช่นนี้ก็ไม่อาจลอยหน้าลอยตาอยู่ภายในวังได้ นางจึงกุมหน้ากลั้นน้ำตาหาข้ออ้างออกจากวังไป
เมื่อครู่หลัวฮองเฮาก็ได้รับความตกใจไม่น้อย ละเหี่ยใจไปหมด พอฉู่หลิงอวิ้นทนเกลี้ยกล่อมป้อนยาที่ต้มเสร็จให้นางดื่มแล้ว ก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อ จึงลุกขึ้นเอ่ยลา
จนขบวนเกี้ยวมาถึงหน้าประตูวัง นางยังคงหน้าบึ้งหน้าตึง
“ท่านหญิง ลงเกี้ยวเถิดเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่เอ่ยเตือนเบาๆ
ฉู่หลิงอวิ้นจัดแจงเครื่องแต่งกายเสร็จก็จับมือนางโค้งตัวลงมา พอเงยหน้าก็เห็นจางอวิ๋นอี้ยิ้มหน้าบานเดินมาข้างๆ รถม้า
แววตาของฉู่หลิงอวิ้นยังแฝงด้วยความไม่พอใจอยู่ แต่ก็ปกปิดไว้คลี่ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “ซื่อจื่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ตอนข้าออกจากวังมาก็เห็นรถม้าของท่านหญิงตรงนี้ จึงรู้ว่าท่านหญิงเข้าวังไปเยี่ยมฮองเฮาและข้าเองก็ว่างพอดี จึงมารออยู่ที่นี่ จะได้พาท่านหญิงส่งกลับจวนอย่างปลอดภัย!” จางอวิ๋นอี้เอ่ยไปยิ้มไป แต่กลับได้กลิ่นอายว่าเขาเข้ามาทำดีด้วยอย่างชัดเจน
ฉู่หลิงอวิ้นไม่อยากทำดีกับคนตระกูลจางสักเท่าไร โดยเฉพาะตอนที่นางเพิ่งไม่สบอารมณ์กับเหยียนหลิงจวินมา
แต่ก่อนนางรู้สึกปิติยินดีที่พวกซูหลินคอยเอาอกเอาใจนาง แต่เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของจางอวิ๋นอี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรอยยิ้มไร้พันธนาการงามสง่าแพรวพราวของบุรุษผู้นั้น จะมองอย่างไรก็หงุดหงิดไม่พอใจเสียทุกครั้ง
นางอารมณ์ไม่ดีจนเกือบจะอาละวาดแล้ว แต่จู่ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้เลยเปลี่ยนใจขึ้นมา และคลี่ยิ้มซาบซึ้งออกไปแทน “รบกวนซื่อจื่อด้วย”
“มิกล้าๆ!” จางอวิ๋นอี้รีบเอ่ยตอบ เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางใจพลันเต้นระส่ำระส่าย ก้มหน้าหนีด้วยความเก้อเขิน
แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ เดินไปทางรถม้าพลางเอ่ย “ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกทีไรล้วนรู้สึกไม่สงบตลอด มาเจอซื่อจื่อที่นี่นับเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายมากมายจริงๆ…” จางอวิ๋นอี้เสริม “ท่านหญิงจะระวังตัวมากหน่อยก็นับว่าปกติ!”
ทั้งสองพูดโต้ตอบกันไปมาฟังดูเข้ากันดี
จื่อเหวยเพิ่งจะโดนฟาดไป ในใจก็ไม่สงบนักจึงไม่กล้าถามมาก นางจึงไปเอาตั่งตัวเตี้ยมาวางให้นางปีนขึ้นรถม้าไป
บนรถม้า จื่อซวี่ก็พยายามไม่ทำท่าอะไรเอิกเกริกอย่างเต็มที่ ได้แค่รินชาให้ฉู่หลิงอวิ้น
เมื่อขึ้นรถไป ฉู่หลิงอวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันที ใบหน้าแสนเยือกเย็นแสดงถึงอารมณ์เบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด “ฉีเหยียนตอบอะไรมาบ้างหรือไม่ เขาตอบว่าอย่างไร?”
“เจ้าค่ะ!” จื่อเหวยรีบตอบ “ซื่อจื่อบอกว่าเรื่องของใต้เท้าจ่างซุนจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านหญิงไม่ต้องสนใจอะไรเจ้าค่ะ”
“ตอบมาแค่นี้หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นพูดพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“เจ้าค่ะ!” จื่อเหวยตอบชัดถ้อยชัดคำไม่มากความ
ฉู่หลิงอวิ้นคิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่วางใจอยู่ดี “วันนี้ข้าไม่สะดวกกลับจวนอ๋องแล้ว เจ้าส่งจดหมายไปอีกรอบ ถามเขาว่าวันรุ่งว่างเวลาใด ให้ออกมาพบข้าหน่อย ข้าอยากคุยต่อหน้าเขาอีกที”
การกระทำของฉู่ฉีเหยียนในช่วงนี้ทำให้คนไม่เข้าใจมากขึ้นทุกที อะไรนิดอะไรหน่อยก็ปกปิดนางตลอด ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปกันแน่
เดิมทีฉู่หลิงอวิ้นออกจากวังไปก็เพื่อจะกลับไปคุยกับเขาที่จวนอ๋องหนานเหอ คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับจางอวิ๋นอี้ เช่นนี้แล้วนางจึงต้องแสร้งแสดงละครอย่างเดียว ไม่สะดวกจะกลับจวนอ๋องแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้นางก็ยิ่งกระวนกระวายเข้าไปกันใหญ่
สาวใช้ทั้งสองนางเห็นสีหน้าเช่นนี้ ก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้องมากกว่าเดิม
—————————————————-
เช้าวันต่อมา เป็นวันที่สิบห้า
เทศกาลโคมไฟ!
ปกติในปีก่อนๆ วันนี้ฮองเฮาจะลงมาคุมสาวใช้ทั้งหลายแขวนประดับโคมไฟดอกไม้ไปทั่ววัง แต่ปีนี้หลัวฮองเฮากลับป่วย และนางก็ไม่อยากแบ่งสรรอำนาจออกไป ไม่ยอมให้ชายานางอื่นจัดการแทน ดังนั้นงานเลี้ยงโคมไฟดอกไม้จึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
โอกาสเช่นนี้นานๆ ทีจะมีสักครั้ง พอตกบ่าย ฮั่วชิงเอ๋อร์จึงส่งเทียบเชิญถึงฉู่สวินหยางให้ไปเดินงานวัดที่ถนนไฉ่ถัง
เวลานี้ในปีก่อนๆ แม่นางทั้งหลายล้วนแต่ฉลองเทศกาลโคมไฟกันในงานเลี้ยงที่วัง โอกาสเช่นวันนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่คนนิสัยอยู่ไม่สุขเช่นฮั่วชิงเอ๋อร์ แม้แต่ฉู่เยว่หนิงได้ข่าวก็พลอยตามกันออกมาด้วย
เพราะเกรงว่าจะเป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง ฉู่สวินหยางจึงจำใจเรียกฉู่เยว่ซินไปด้วย และยังให้พ่อบ้านเจิงจัดขบวนนำ เลือกทหารองครักษ์กว่ายี่สิบนายไว้คอยคุ้มกัน แล้วเร่งออกเดินทางก่อนเวลาเย็น
บนรถม้า ฮั่วชิงเอ๋อร์นั่งจิบชาพลางชะโงกไปมองทหารองครักษ์ที่หนาตาด้านนอก ก่อนเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “นานๆ ทีจะว่างออกมาเที่ยว เห็นคนพวกนี้ตามกันมาเป็นโขยงช่างทำเสียอารมณ์นัก!”
“ช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองมิค่อยสงบ พาคนออกมามากหน่อยก็ดีจะได้ปลอดภัย!” ฉู่เยว่หนิงกลับไม่สนใจพวกนี้ เอาแต่มองทิวทัศน์ภายนอกด้วยความดีอกดีใจ
ฤกษ์สมรสของนางได้กำหนดไว้วันที่แปดเดือนห้า พอออกเรือนแต่งเป็นชายาไปก็ไม่เหมือนกับตอนเป็นสตรีโสดอีกต่อไปแล้ว โอกาสตรงนี้มีได้ไม่ง่ายนัก จึงไม่ได้เลือกอะไรมากมาย
ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็รู้ดีว่าช่วงนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องต่างๆ นานา แต่นางก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น บ่นเสร็จก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยอย่างอื่นต่อ
ฉู่เยว่ซินนั่งเงียบมาตลอดทาง นางเอาแต่จิบชาอยู่ข้างๆ อย่างสงบ ถึงจะมีพูดเออออบ้างไม่กี่ประโยค แต่ก็ไม่รู้ทำไม มักทำให้คนมองรู้สึกถึงความแปลกแยกไม่กลมกลืน
ถนนไฉ่ถังตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ห่างจากวังบูรพาไม่มาก
ถนนสายนั้นเป็นถนนสายที่ราชวงศ์ก่อนสร้างทิ้งเอาไว้ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเก่าแก่หลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ หรือของเล่นต่างก็มีทั้งหมด ทุกครั้งที่ีงานเทศกาล สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยรวงร้านที่นำของแปลกๆ มาขาย
เทศกาลโคมไฟในวันนี้ ริมถนนทุกสายล้วนมีโคมไฟหลายสีแขวนเอาไว้ โคมไฟรูปร่างต่างๆ เรียงรายอยู่เต็มถนน มองดูแล้วเหมือนเป็นตัวมังกรหลากสีที่ทอดยาวไปถึงเส้นขอบฟ้า บรรยากาศของถนนทั้งสายล้วนประดับประดาไปด้วยอารมณ์รื่นรมย์สังสรรค์
ร้านค้าสองข้างทางจุดโคมไฟไสวสว่าง พ่อค้าแม่ขายต่างแข่งกันเรียกลูกค้า
หนุ่มๆ สาวๆ ที่มาเดินจับจ่ายซื้อของล้วนแต่แต่งตัวงดงามหลากสีสัน เสียงคุยจอแจไปหมด
“ไอ้หยา ดูคึกครื้นเสียจริง!” สตรีไม่กี่นางนั้นตาเป็นประกายมองไปทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะฉู่เยว่หนิง ที่ยามนี้ตื่นเต้นเสียจนหน้าแดงก่ำ
“งานฉลองของสามัญชนด้านนอกนั้นแตกต่างกับในวังเสียจริง” ฉู่เยว่หนิงเอ่ยอย่างอดไม่ได้
———————————–