สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 4.4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (4)
รูปปั้นนั้นเล็กมาก รายละเอียดเครื่องหน้าก็ไม่ได้ละเอียดชัดเจนขนาดนั้น กอปรกับเป็นตอนกลางคืน จะบอกว่ารูปปั้นตุ๊กตานั้นหน้าละม้ายคล้ายฉู่สวินหยางก็คงไม่ได้ เพียงแต่พอโค้งยิ้มขึ้นมา นับว่าบังเอิญนัก…
เหมือนทั้งภายนอกและภายใน ประดุจคัดลอกมาวาง
หากเป็นคนนอกที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มไร้พันธนาการเช่นนี้ของฉู่สวินหยางก็คงไม่อะไร แต่สาวใช้ทั้งสองอยู่กับนางมาหลายปีแล้ว…
ไม่เพียงแค่ชิงเถิง พอชิงหลัวมองไปก็ตกใจมากเช่นกัน หากไม่ได้มั่นใจว่าฉู่สวินหยางไม่เคยพบกับชายเฒ่าที่ปั้นตุ๊กตามาก่อน ทั้งสองคงคิดว่ารูปปั้นนั้นปั้นตามแบบฉู่สวินหยางเป็นแน่
นับว่าประหลาดยิ่งนัก!
ก็ไม่แปลกที่เหยียนหลิงจวินจะลงมือปัดจนตกแตก
ถึงจะแค่บังเอิญ แต่ถ้าเกิดมีคนคิดไม่ดีเห็นเข้าก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ
“อย่าปากมาก!” ในใจชิงหลัวก็เกิดสงสัยเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบข้างจึงไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ขมวดคิ้ว “ระวังอย่าก่อเรื่องเข้าล่ะ”
ชิงเถิงจึงปิดปากไป
ฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหน้าเลือกโคมไฟดอกไม้มาถือไว้โคมหนึ่ง มือก็พลางดึงหูของโคมกระต่ายเล่น หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับเหยียนหลิงจวินว่า “อีกครู่จะไปนั่งเรือชมทิวทัศน์จริงหรือ?”
วันสำคัญเช่นนี้ ปกติเรือชมทิวทัศน์มีแต่จะไม่เพียงพอ หากไม่ได้เตรียมการมาก่อนจริงๆ คงจะหาเช่าไม่ได้
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้าเดินเข้าไปหา ไม่ได้รู้ว่าท่าทีเหมือนเด็กๆ ของนางไม่เหมาะสมแต่อย่างใด และตนยังเอื้อมมือไปดึงหูกระต่ายเล่นด้วย
ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ก็แค่โคมไฟ เจ้าแกล้งอะไรมัน? มิใช่กระต่ายจริงๆ เสียหน่อย!”
เมื่อครู่เหยียนหลิงจวินก็แค่ทำตามอำเภอใจ พอรู้ตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าตนลืมตัว แต่โดนนางล้อเช่นนี้เขาก็หาได้รู้สึกอับอาย ทั้งยังปั้นหน้ายิ้มต่อได้ “หากเจ้าชอบ ไว้วันหลังข้าจะมอบตัวเป็นๆ ให้!”
ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาพูดเล่นๆ จึงหัวเราะแล้วก็ลืมสนิท
ฉู่เยว่หนิงหันกลับมา พอเห็นทั้งสองถูกทิ้งไว้ห่างออกไป จึงโบกมือเรียก “พี่สาม พวกเจ้ารีบเดินหน่อย!”
“อืม มาแล้วๆ!” ฉู่สวินหยางตอบ กำลังจะหมุนตัวออกเดิน ทว่าเมื่อเดินสวนกับเหยียนหลิงจวินกลับถูกชายหนุ่มยื่นนิ้วก้อยออกมา แล้วเกี่ยวนิ้วก้อยของนางที่แอบอยู่ใต้แขนเสื้อ
ลูกไม้เช่นนี้ แต่ก่อนเขาก็เคยใช้แล้วครั้งหนึ่ง
แต่ยามนี้ทั้งสองกำลังอยู่ในถนนที่ผู้คนขวักไขว่ ฉู่สวินหยางจึงยืนแข็งทื่อ สีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด แดงเสียจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา
นางกวาดตามองรอบข้างอย่างพะว้าพะวง พยายามสะบัดมือทั้งที่ยังหน้าแดงก่ำ “ปล่อยนะ เดี๋ยวใครเห็นเข้า!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางหน้าแดงจนถึงใบหู นัยน์ตาพลันคลี่ยิ้มราวกับสายน้ำต้นเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิ เขาเกี่ยวนิ้วนางเดินไปข้างหน้าอย่างดื้อๆ พลางมองไปทางแขนเสื้อของทั้งสองที่ทับกันอยู่ เอ่ยว่า “แขนเสื้อปิดอยู่ มองไม่เห็นหรอก!”
ฉู่สวินหยางถูกเขาจับจูงอยู่ ไหนเลยจะสบายอารมณ์ได้แบบเขา
แม้ปกตินางจะทำตัวไร้ยางอายบ้างเวลาอยู่กันสองคน แต่ก็ไม่ได้หน้าหนามาทำโจ่งแจ้งต่อหน้าคนอย่างนี้ ด้วยที่กลัวตกเป็นเป้าสายตา นางจึงไม่อาจต่อล้อต่อเถียงกับเขาจนเป็นเรื่องใหญ่โต ฉะนั้นจึงได้แต่รีบเดินตามเขาไป สองคนเดินคู่กันไปด้านหน้าโดยใช้แขนเสื้อที่ห้อยลงมาบดบังเจ้าตัวปัญหาที่อยู่ข้างใน
ฉู่เยว่หนิงรอทั้งสองเดินเข้ามาหาอยู่เบื้องหน้า เมื่อเห็นทั้งสองเดินมามือเปล่า มีเพียงฉู่สวินหยางที่ถือโคมไฟดอกไม้อยู่ในมือ ก็เบ้ปากเอ่ยว่า “พี่สามเดินนานขนาดนี้ ซื้อมาแค่โคมไฟดอกไม้เองหรือ?”
“เปล่า! ข้ากลัวพวกเจ้าจะซื้อของเยอะ เดี๋ยวรถม้าจะใส่ไม่พอ” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยสีหน้าที่ปกติที่สุด
เหยียนหลิงจวินเดินอยู่ข้างนาง คลี่ยิ้มมุมปากอย่างสบายใจ
ฉู่เยว่หนิงรีบยิ้มกลบเกลื่อน “พี่สาวตระกูลฮั่วก็บอกแล้ว ของวันนี้นางเลี้ยงเองทั้งหมด พี่สามคงไม่อยากเอาเปรียบนางใช่หรือไม่? ข้าไม่สนหรอก ถึงตอนนั้นหนี้ที่ติดเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้พี่ไถ่คืน!”
“ใช่นะสิ รอเจ้าแต่งงานก็เป็นคนของสกุลอื่นแล้ว ยังจะเหลือหนี้ให้ข้าไปไถ่คืนอีก!” ฉู่สวินหยางปั้นหน้ายิ้มพูดหยอก ดีที่แสงไฟในถนนยามราตรีสว่างไสว พอช่วยปกปิดสีหน้าผิดปกติของนางได้พอดี
“พี่สาม พี่เอาข้าไปพูดเล่นอีกแล้ว!” ฉู่เยว่หนิงหน้าแดง กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“พวกเจ้าทำอะไรกัน? รีบมานี่เร็ว เครื่องประดับสวยๆ ทั้งนั้นเลย!” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูดพลางหันมากวักมือเรียกไวๆ
ฉู่เยว่หนิงรับคำก่อนจะวิ่งนำไปก่อน
พอฉู่สวินหยางจะตามไปด้วย จึงนึกได้ว่ามีคนเกี่ยวก้อยอยู่ ทำได้เพียงทำหน้าทำตาตามประสาสาวน้อย ปล่อยให้เหยียนหลิงจวินจูงมือไปอย่างเชื่องช้า
กว่าจะได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังมีโอกาสดีๆ เช่นนี้ แต่พอถึงทีนาง กลายเป็นสองคนจูงมือกันชมทิวทัศน์ไปเสียนี่ และยังต้องคอยหวาดระแวงเหมือนโจรว่าจะมีคนมาเห็นเข้าหรือไม่ ความรู้สึกนี้…
ช่างไม่เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทีพะว้าพะวงของนาง โค้งยิ้มยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก “ตามจริงของซื้อของขายบนถนนนี้มีทั้งปี วันนี้คนมาก แค่ร่วมสนุกด้วยก็พอแล้ว หากเจ้าชอบ ไว้วันหลังข้าจะพามาใหม่”
บุรุษผู้นี้เวลาหน้าหนาขึ้นมาใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ฉู่สวินหยางจึงไม่คิดคุยกับเขาด้วยเหตุผล ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้ว รูปปั้นเมื่อครู่…”
“มันแปลกๆ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย สายตาคู่นั้นเย็นชาขึ้นมาในทันใด
เขาเหลือบตามองทีหนึ่ง อิ้งจื่อที่แต่งตัวเป็นชายก็รีบเดินขึ้นมา “เจี๋ยหงคอยดูอยู่เจ้าค่ะ บ่าวให้นางพาคนกลับไปด้วย ถึงตอนนั้นค่อยถามก็ไม่สาย”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้ารับ และไม่ได้พูดอะไรอีก
ขณะเดียวกัน ในห้องส่วนตัว ณ โรงน้ำชาที่ตั้งอยู่เกือบสุดปลายถนน ฉู่หลิงอวิ้นนั่งมองบรรยากาศบนถนนที่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คน “หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าคงนัดเจ้ามาพรุ่งนี้แทน โหวกเหวกโวยวายน่ารำคาญสิ้นดี”
ฉู่ฉีเหยียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนาง แต่ท่าทีของเขากลับสงบนิ่ง นั่งรินชาให้ตนพลางเอ่ยว่า “เพราะในใจเจ้าไม่สงบเอง ข้าก็ตอบเจ้าแล้วเรื่องวังบูรพายังมิต้องให้เจ้าเข้ามายุ่ง ตอนนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮากำลังแตกคอกัน หากเจ้าเข้าไปยุ่งจะยิ่งไปกันใหญ่ เลี่ยงไว้ก่อนนับว่าเป็นผลดี”
“ข้าก็แค่ไม่พอใจ!” ฉู่หลิงอวิ้นตวาดกลับพลางกระแทกถ้วยชาลงเสียงดัง “หากมิใช่เพราะนังเด็กฉู่สวินหยางนั่นแอบมายุ่ง ข้าจะตกต่ำมาถึงจุดนี้หรือ? แต่นางกลับกินอยู่อย่างอิสระ อาศัยสิ่งใด? แค้นนี้ข้าจะต้องชำระกับนางให้ได้สักวัน”
คำพูดเช่นนี้ นางก็จะพูดออกมาทุกครั้งที่พบกัน ฉู่ฉีเหยียนเลิกแปลกใจแล้ว จึงทำเพียงนั่งฟังเงียบๆ
จนนางระเบิดโทสะกับฉู่ฉีเหยียนหมดแล้วถึงยอมปริปาก “กว่าจะมีฤกษ์ดีเช่นวันนี้ เมื่อเจ้าออกมาแล้ว ก็ไปเดินเล่นหน่อยเถอะ นับว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ก็ได้!”
“ให้ข้าออกไปเบียดเสียดกับพวกไพร่พวกนั้นน่ะหรือ? ข้ายังไม่เบื่อหน่ายขนาดนั้นหรอก” ฉู่หลิงอวิ้นตอบเสียงแข็ง ไม่แม้แต่จะคิดรักษาน้ำใจ พอหันกลับไป จู่ๆ ก็เห็นว่าฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วจ้องไปยังถนนชั้นล่างไม่ขยับเขยื้อน
นางจิบชาไปคำหนึ่ง แล้วจึงมองตามไปอย่างสงสัย
แสงโคมไฟด้านล่างสว่างกระจายไปทั่ว ไม่ได้ดูมีอะไรน่าพิเศษ แต่เมื่อมองลงไปกลับเห็นเงาของคนคู่หนึ่งที่เดินเคียงกันไปตามแผงร้านค้าต่างๆ
วันนี้เหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางล้วนไม่ได้แต่งตัวโอ่อ่า แต่เมื่อมองลงไปก็สามารถสังเกตเห็นพวกเขาท่ามกลางฝูงชนมากมายได้ในทันที
ยามนี้ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป พูดคุยหัวเราะร่าด้วยเรื่องบางอย่าง
นางมีหันมายิ้มหวานให้เขา ส่วนมุมปากของเขาก็ยังคงโค้งขึ้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่สายตาคู่นั้น มีแค่ตอนที่อยู่กับนางเท่านั้นจึงจะยอมเผยอารมณ์ที่แท้จริงของตนออกมา
แม้คนอื่นจะรู้สึกว่าเหยียนหลิงจวินเป็นคนที่ชอบใส่หน้ากากตลอดเวลา แต่ฉู่หลิงอวิ้นไม่เห็นด้วย…
เขาที่จิตใจเบิกบานเช่นนี้ต่างหากที่เป็นตัวจริง
และก็เป็นเพราะนางฉู่สวินหยางนั่นอีกแล้ว!
ในอกของฉู่หลิงอวิ้นสั่นสะท้านด้วยความโกรธ แววตาเย็นชาขึ้นมาในทันใด ก่อนจะสบถ “เสียอารมณ์จริงๆ!”
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาจ้องไปบนใบหน้าของสองคนนั้นอีกแวบหนึ่งแล้วก็รีบเบือนหนี แต่กลับเหลือบไปหยุดอยู่ที่แขนเสื้อที่ทับกันอยู่ของทั้งสองคน
หากมองจากที่สูงจะเห็นได้ชัดว่า…
ภายใต้แขนเสื้อนั้น นิ้วมือของทั้งสองเหมือนจะเกี่ยวพันเข้าด้วยกันอย่างอ่อนหวาน
ฉู่ฉีเหยียนสติเริ่มเลอะเลือน ส่วนฉู่หลิงอวิ้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยันโต๊ะลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังทางออกพลางเอ่ยอย่างหัวเสีย “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน!”
ฉู่ฉีเหยียนเห็นนางเดินดุ่มๆ อารมณ์เสียออกไปก็ขมวดคิ้ว สักพักก็เอื้อมมือปิดหน้าต่างและเดินตามนางออกไป
————————————