สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 40.3 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 40.3 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (3)
เหยียนหลิงจวินไอแห้งอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยหน้าเหยเกว่า “แนวรบส่งข่าวผิดพลาด ท่านผิงกั๋วกงบาดเจ็บภายนอกเพียงไม่กี่แห่ง เพราะรอนแรมอยู่ด้านนอกหลายวัน ต้องบำรุงสักพักจึงจะหายเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สรวลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
เหยียนหลิงจวินไม่ได้แต่งคำโกหกเตรียมมาเพื่อหลอกลวงเบื้องสูง ฮ่องเต้เป็นคนละเอียดลึกซึ้ง ต่อให้ข้างกายฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยางไม่มีคนของพระองค์ แต่ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างพระองค์ย่อมทรงรู้ดี
เหยียนหลิงจวินไม่ยอมพูดความจริง ฮ่องเต้ก็มิได้กล่าวโทษเขา ลืมตามามองเขาทีหนึ่ง ตรัสอย่างเชื่องช้าว่า “เด็กสองคนนั้นเป็นฝาแฝดกัน สนิทสนมกันมาแต่เล็ก นิสัยของฉีเฟิงไม่เลวหรอก แต่พอดื้อรั้นขึ้นมา ข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้”
เหยียนหลิงจวินกระแอมอีกเสียง ครานี้สีหน้าแสดงชัดถึงความอึดอัดไม่เป็นตัวเอง
ฮ่องเต้เห็นว่าเขายังปิดปากเงียบ คล้ายว่าจะสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ จึงหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าชอบใจเด็กคนนั้นจริงๆ รึ?”
เหยียนหลิงจวินรีบร้อนแก้ตัวว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงล้อเล่นกับกระหม่อมเช่นนี้เลย!”
คราวนี้ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไป มองเขาอย่างแปลกใจทีหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวนั่งตรง เอ่ยถาม “ทำไม? ถ้าเจ้าสนใจจริงๆ วันนี้ข้าอุตส่าห์เอ่ยปากถามถึงแล้ว เจ้ายังทำอิดออดไม่ยอมพูดอีก? ถ้าเปลี่ยนเป็นบุรุษตระกูลอื่น มีแต่จะรีบขอข้าให้พระราชทานสมรสแล้ว”
เหยียนหลิงจวินเงยหน้ามองพระองค์ สีหน้าแฝงความจนใจหลายส่วน แล้วหัวเราะขื่น “แม้จะพูดกันว่างานแต่งต้องเชื่อพ่อแม่ต้องฟังแม่สื่อ แต่ว่า…อย่างไรก็ต้องให้ท่านหญิงนางเห็นด้วยถึงจะถูก หากว่ากระหม่อมขอความเมตตาจากฝ่าบาทด้วยอาศัยความรู้สึกของตนฝ่ายเดียว ถ้าท่านหญิงเกิดไม่พอใจ สองฝ่ายคงมองหน้ากันลำบากมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าช่างมีใจนัก!” ฮ่องเต้ได้ฟังก็หัวเราะดังลั่น เพราะหัวเราะมากไปจึงหายใจไม่ทัน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแล้วเริ่มโก่งคอไออีก
“ฝ่าบาท ดื่มชาโสมเสียหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” เย่าสุ่ยรีบประคองถ้วยชาเข้ามา ทั้งยังช่วยพระองค์ลูบหน้าอกให้หายใจสะดวกคล่องขึ้น
วันนี้อารมณ์ของฮ่องเต้คงจะดีมากจริงๆ ถึงเอาแต่คุยเรื่องครอบครัวของเขาไม่หยุด นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สวินหยางเองก็ไม่เลวหรอก นิสัยใจคอ รูปร่างหน้าตาล้วนเป็นยอด แต่ถูกบิดาตามใจมากไปหน่อย พอไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา…”
ฮ่องเต้ตรัสไปก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้สาเหตุ “ก็ออกจะหยาบคายไปบ้าง!”
เหยียนหลิงจวินหัวเราะ “กระหม่อมกลับรู้สึกว่านิสัยเปิดเผยจริงใจของท่านหญิงช่างหาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
“อย่างเจ้านั่นเรียกว่าพอถูกใจ อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด!” ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา น้ำเสียงกดหนักขึ้นหลายส่วน แต่ก็ฟังออก ว่าไม่ได้มีโทสะ “ตอนนี้ตัวคนยังหาไม่เจอ เจ้ายังจะพูดจาเข้าข้างนางอีกรึ? อย่าว่าแต่พวกราชนิกุลเลย ต่อให้เป็นพวกสกุลใหญ่โต สตรีบ้านใดบ้างไม่ถูกเลี้ยงในห้องหับ ผู้คนไม่เคยได้พบหน้า มีหรือจะได้ทำตัวเตร็ดเตร่ไปทั่วเหมือนอย่างนาง?”
เหยียนหลิงจวินฟังแล้ว ก็ได้แต่แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนเท่านั้น
ฮ่องเต้พูดปไม่น้อย ระหว่างนั้นสายตาของพระองค์ก็ลอบมองสีหน้าของเหยียนหลิงจวินอยู่เสมอ คอยสังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เขา
เมื่อลองหยั่งเชิงอยู่นานแต่ไร้ผล พระองค์จึงเริ่มอ่อนล้า โบกมือไล่พลางเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว จะไปพักสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยมาใหม่อีกรอบเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินตอบรับ
ฮ่องเต้หยัดตัวลุกขึ้น
เย่าสุ่ยรีบวางถ้วยชาในมือแล้วเข้าไปประคอง ตอนที่ลุกยืนคล้ายว่าจะหน้ามืดกะทันหัน ร่างกายจึงส่ายโอนเอน
“ฝ่าบาท!” เย่าสุ่ยตะโกนตกใจ ถลาตัวเข้าไปหา
“ไม่ต้อง!” ฮ่องเต้วูบไปชั่วขณะ ตอนที่ยกมือห้ามเขากลับปัดโดนถ้วยน้ำชาที่ยังไม่ทันได้วางจนพลิกคว่ำ
น้ำชาอุ่นหกกระจาย กระเซ็นไปทั่วโต๊ะ
“อ๊ะ ฎีกา!” เย่าสุ่ยตกใจหน้าซีด รีบกระโจนเข้าไปคว้า
ตอนนั้นเหยียนหลิงจวินก็อยู่ข้างๆ จึงไม่อาจยืนเฉยไม่ช่วยเหลือ เขารีบคว้าเอาฎีกาที่เปียกชุ่มมากที่สุดบนโต๊ะมาไว้ในมือ ตอนที่กำลังจะใช้แขนเสื้อเช็ด สายตาก็กวาดมองเนื้อหาด้านบน สีหน้าพลันแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง
เขารีบกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาของฮ่องเต้สว่างวาบ มุมปากยกขึ้นอย่างพอใจ พระองค์ยื่นมือออกไปรับฎีกาจากเขา แล้วโบกมือไล่เย่าสุ่ยที่
อยู่ข้างๆ
เย่าสุ่ยตกใจจนหน้าซีด เห็นว่าพระองค์ไม่ลงโทษก็ดีใจหนักหนา จึงชักเท้าจากไปอย่างไม่สนใจอะไรอีก
ฮ่องเต้กางฎีกาออกก่อนจะกวาดตามองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตรัสกับเหยียนหลิงจวินว่า “ในเมื่อเจ้าเห็นแล้ว ก็ลองว่ามาเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินหลุดสีหน้าตกตะลึงให้เห็น เอาแต่จ้องพระองค์
“เหอะ…” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงแหบ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปประทับบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างอย่างเชื่องช้า “เจ้าลำบากใจที่จะพูดอย่างนั้นรึ?”
“เรื่องในราชสำนัก กระหม่อมมิกล้าพูดส่งเดช” เหยียนหลิงจวินตอบ น้ำเสียงนอบน้อมฟังดูไม่ต่ำต้อยหรือโอหัง
ฮ่องเต้ชื่นชมนิสัยสุขุมและใจเย็นกับทุกเรื่องทุกเวลาของเขา ที่แกล้งลองเชิงถามมากมายก็เพราะมีแผนในใจตั้งแต่ต้น สีหน้าจึงดูปกติอยู่เสมอ
“เป็นข้าสั่งให้เจ้าพูด อีกอย่างตรงนี้ก็ไม่มีใคร พอเดินออกประตูไปก็ลืมเสียให้หมดก็ได้แล้ว” ฮ่องเต้ตรัส ท่าทางเหมือนบีบให้เขาทำเรื่องยากอยู่ในที
เหยียนหลิงจวินมองดวงหน้าของพระองค์ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าจนใจ จากนั้นถึงเปิดปากอย่างระมัดระวัง
“ฎีกาฉบับนี้ องค์รัชทายาทเป็น…”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ถูกต้อง! ในเมื่อเจ้าเห็นแล้ว ข้าก็ไม่อยากปิดบัง ช่วงนี้ที่ข่าวว่าองค์รัชทายาทล้มป่วย ความจริงแล้วเขาถูกข้าส่งไปจัดการกิจด่วนของกองทัพที่ชายแดนเหนือ สามวันมานี้เขาก็ส่งฎีกาด่วนกลับมาเมืองหลวงไม่เว้นแต่ละวัน!”
ความเป็นมาที่ฉู่อี้อันถูกส่งออกไปนอกเมืองหลวงนั้นไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าเหยียนหลิงจวิน หากมิใช่ว่าชายแดนเหนือเกิดเรื่องจนฮ่องเต้ต้องส่งเขาไปคุมทัพ ตอนนั้นก็คงไม่รีบร้อนเร่งให้เขาลงใต้ไปคุมทัพจับศึก
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตอบอะไร
พูดถึงเรื่องชายแดนเหนือ เห็นชัดว่าฮ่องเต้ไม่ค่อยไว้วางใจนัก เอาแต่นวดหัวคิ้วอย่างกังวล จากนั้นก็กดอารมณ์ให้สงบก่อนจะเล่าต่ออย่างมั่นคงว่า “ไอ้พวกสวะแดนเหนือพวกนั้นก็ทุเรศสิ้นดี เห็นว่าผาสูงวังไกล คิดว่าข้าไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่พวกมันทำ เอาแต่รายงานความดีความชอบจอมปลอมของทัพ ส่งข่าวว่าได้ชัยครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงสามส่วนเท่านั้นที่เป็นจริง หนแรกๆ ก็เพราะบังเอิญโชคเข้าข้างถึงชนะสองสามศึก จนขับไล่พวกป่าเถื่อนออกนอกด่านไปได้ชั่วคราว แต่ละคนก็ดีใจหลงระเริง สุดท้ายถึงถูกทัพศัตรูบุกตีตลบหลัง แพ้จนกระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า!”
เล่าถึงตรงนี้ พระองค์ก็ทรงกำฎีกาในมือแน่น ไอเย็นแผ่ซ่านออกจากส่วนลึกของนัยน์ตา แทบจะกัดฟันพูดว่า “ทหารแสนนาย ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันก็หายไปเสียครึ่ง รายงานศึกที่ส่งกลับมามีแต่เรื่องดีไม่มีแย่ เพื่อจะแสดงว่าทุกอย่างเรียบร้อย ถึงขนาดเอาเสบียงที่ข้ามอบให้กองทัพไปติดสินบนพวกป่าเถื่อนนอกด่าน คิดจะปิดหูปิดตาข้า ไอ้พวกระยำพวกนี้ บังอาจเหิมเกริม ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป!”
————————————————-