สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 40.5 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (5)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 40.5 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (5)
หัวคิ้วของฮ่องเต้ขมวดแน่น เห็นชัดว่ากำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของเขาอยู่
เหยียนหลิงจวินเปลี่ยนท่าทีจากเดิมที่ทำเหมือนเรื่องราวนี้ไม่เกี่ยวกับตน ประสานมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ฝ่าบาท ชั่วดีอย่างไรกระหม่อมกับซูชิงสุ่ยก็สนิทสนมกัน ในเมื่อเขามีความสามารถด้านนี้ ในมือพระองค์ก็ยังไม่มีใครที่เหมาะสมจะส่งไปชายแดนเหนือมากกว่า ซูชิงสุ่ย จะให้โอกาสเขาสักครั้งได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้เขาสร้างผลงานลบล้างความผิด อีกอย่าง…สิ่งที่พ่อลูกสกุลซูทำ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด”
วันนี้ฮ่องเต้อยากจะล้างบางสกุลซู แต่หากซูอี้ยังยึดติดกับสกุลเก่า ต่อไปเมื่อเขาเป็นใหญ่ก็อาจจะกลับมาล้างแค้น เช่นนั้นก็ควรกำจัดให้สิ้นซากเสียแต่เนิ่นๆ
แต่ถ้าสิ่งที่เหยียนหลิงจวินพูดเป็นความจริงทั้งหมด พระองค์ก็ค่อนข้างจะเบาใจ…
เขาแค้นฝังหุ่นพ่อลูกสกุลซู น่ากลัวว่าเขาจะยังฝังใจเรื่องที่ปีนั้นซูจิ่นรั่งไม่ยอมสืบหาความจริงและขับไล่เขา ผู้ที่มีเพียงความเคียดแค้นให้กับสกุลซูทั้งสกุล ขอเพียงผูกใจเขาไว้ คงไม่มีทางทรยศเพื่อสกุลซูแน่
ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบกลับในทันที ทำหน้าเคร่งพิจารณาอยู่พักใหญ่
สุดท้าย ตอนที่พระองค์เงยหน้าขึ้นมองเหยียนหลิงจวิน ริ้วรอยบนใบหน้านั้นพับย่น ก่อนจะหัวเราะอย่างชอบใจ เอ่ยว่า “ฟังจากที่เจ้าพูด ซูอี้ผู้นั้นก็หาใช่คนใจกว้าง ทั้งฉีเฟิงยังเป็นคนส่งเขาเข้าคุกหลวง เจ้าไม่กลัวรึว่าการที่เจ้าแนะนำเขาให้ข้า หากวันใดเขามีอำนาจเป็นใหญ่ขึ้นมา เจ้าเด็กสวินหยางจะไม่อยากมองหน้าเจ้าอีก?”
สีหน้าเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อขึ้นมาทันที มุมปากยกขึ้นอย่างสับสนระคนเป็นทุกข์ ไม่ส่งเสียงตอบจนผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้ถอนหายใจเอ่ยว่า “กระหม่อมก็แค่คนเล่าเรื่อง มิใช่ผู้ตัดสินใจ หากว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นห่วงกระหม่อมสักนิด ก็เหมือนกับที่ทรงตรัสแก่กระหม่อมก่อนหน้านี้ พวกเราก้าวออกประตูไปก็ลืมเรื่องนี้เสียให้หมด ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ชะงัก มองท่าทีเป็นจริงเป็นจังของเขาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา
พระองค์ประทับอยู่บนบัลลังก์มานาน แม้แต่ลูกหลานของตัวเองมาอยู่เบื้องหน้าก็ยังหวาดระแวงเสมอ นานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกับใครด้วยใจที่สงบเช่นนี้
ตอนนี้เหมือนพระองค์จะสำราญใจเป็นที่สุด หลังจากหัวเราะแล้วก็โบกมือ ว่า “เอาเถอะ ข้าก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายจะใช้เขาหรือไม่นั้นรอข้าปรึกษากับเหล่ามหาบัณฑิตแล้วค่อยตัดสินใจ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า
ฮ่องเต้หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเสริมว่า “สองสามวันนี้เจ้าก็อยู่ที่เมืองหลวงนี่ก่อน ไม่ต้องวิ่งรอกตามหาเด็กนั่นหรอก รอให้เจ้าใหญ่กลับมาแล้ว ข้าจะเรียกเขามาคุยเองว่าให้อบรมลูกสาวตัวเองบ้าง!”
เหยียนหลิงจวินยิ้มขื่น “พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมทูลลา!”
เห็นเขาเดินออกมา หลี่รุ่ยเสียงจึงเดินเข้ามาหา “ใต้เท้าเหยียนหลิง!”
จากนั้นจึงหันไปบอกนางกำนัลที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกของตำหนักว่า “ฟ้ามืดแล้ว ไปหยิบตะเกียงแล้วไปส่งใต้เท้า
เหยียนหลิง!”
“เจ้าค่ะ!” นางกำนัลส่งเสียงรับ ก่อนจะรีบไปหยิบตะเกียงมา
เหยียนหลิงจวินไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าหลี่ ข้าลืมถามไป อาการของฝ่าบาทกำเริบตั้งแต่เมื่อไร? แล้วช่วงที่ผ่านมาหมอหลวงท่านใดเป็นคนตรวจพระอาการ?”
หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนหัวไว ได้ฟังเท่านั้นก็อดจะสนใจไม่ได้ สายตามองผ่านเขาเข้าไปด้านตำหนัก ตอบเสียงทุ้ม
“มีอะไรหรือขอรับ? อาการของฝ่าบาทมีอะไรผิดปกติหรือ?”
“เปล่าหรอก!” เหยียนหลิงจวินยิ้มให้
รอยยิ้มของเขายังจริงใจไร้ที่ติเหมือนอย่างที่เคยๆ ทว่าหลี่รุ่ยเสียงก็ยังมองเขาอย่างสงสัย
เห็นนางกำนัลเดินถือตะเกียงเดินมาตามระเบียงไกลๆ เหยียนหลิงจวินจึงพยักหน้าให้เขา “อีกเดี๋ยวยาต้มได้ที่แล้ว หัวหน้าหลี่ต้องคอยดูให้ฝ่าบาทดื่มก่อนแล้วค่อยพักผ่อนล่ะ”
“ขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงส่งเสียงรับ
เหยียนหลิงจวินไม่อ้อยอิ่ง ยกเท้าก้าวออกประตูไปทันที
พอเท้าเหยียบลงขั้นบันได ขาของเขากลับชะงักกึก แล้วเหลือบตาเข้าไปมองด้านในตำหนัก
ฝ่าบาทพระทับอยู่ใต้เงาแสง เสื้อคลุมมังกรเหลืองอร่ามห่อพระวรกายผ่ายผอม สีหน้าหม่นหมองซีดเซียว
นัยน์ตาของเหยียนหลิงจวินวาบแสง นางกำนัลที่มาจากระเบียงด้านข้างมาคล้ายถูกบางอย่างในสายตาเขาทิ่มแทง จู่ๆ ก็สั่นไปทั่วร่าง
วินาทีต่อมา เหยียนหลิงจวินก็ยกขาเดินลงบันไดต่อ รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏยังคงสง่างามเหมือนเก่า นางกำนัลที่ได้เห็นยังก้มหน้างุดๆ แก้มแดงก่ำ ราวกับเมื่อครู่ได้ตาฝาดไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงโปรดให้ใต้เท้าเหยียนหลิงตรวจพระอาการหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่รุ่ยเสียงกลับเข้าไปในตำหนัก ช่วยจัดฎีกาที่กระจัดกระจายบนโต๊ะข้างให้เป็นระเบียบ พลางเอ่ยขึ้นมาอย่างลอยๆ
ดวงหน้าของฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนสี หางตายกมองเขาเล็กน้อย คล้ายเข้าใจสิ่งที่เขากำลังคิด ก่อนจะหัวเราะเสียงแหบแล้วตรัสว่า “ข้าทดสอบเขาดูหลายรอบแล้ว คนอย่างเขา ข้าใช้แล้วสบายใจ!”
พระองค์ทรงหวาดระแวงทั้งขุนนางและแม้แต่โอรสตัวเอง กลัวว่าสักวันพวกนั้นจะมีความคิดต่ำช้าลุกขึ้นมาต่อต้าน ทว่าช่วงนี้พระองค์ทรงจับตาดูการเคลื่อนไหวของเหยียนหลิงจวินอย่างใกล้ชิด เบื้องหลังของเขาใสสะอาดจนน่าแปลกใจ แม้ว่าจะชอบพบปะสังสรรค์กับพวกขุนนางในราชสำนักอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับใครมากเป็นพิเศษ
อีกอย่างพระองค์ก็เคยหยั่งเชิงเหยียนหลิงจวินอยู่หลายครั้ง เคยเสนอเลื่อนขั้นให้เขาไปอยู่สำนักบัณฑิต ลองเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ แต่เหยียนหลิงจวินก็ตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หากถามว่าบนตัวของเหยียนหลิงจวินมีอะไรที่ทำให้พระองค์ไม่พอใจ ก็คงมีแต่เรื่องระหว่างเขากับฉู่สวินหยาง และจากที่สังเกตดู เขาก็แค่พยายามหาทางใกล้ชิดกับฉู่สวินหยางเท่านั้น ส่วนฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงมีน้อยครั้งที่จะได้พบหน้ากัน
ฮ่องเต้ทรงอ่านคนมานักต่อนัก คนนิสัยอย่างเหยียนหลิงจวิน ไม่ได้ผ่านมาเข้าตาบ่อยๆ
ยิ่งกว่านั้น ยังมีเฉินเกิงเหนียนอีกคนที่อยู่ข้างกาย พระองค์จึงไม่ทรงกลัวว่าเหยียนหลิงจวินจะมีใจเป็นอื่น
หลี่รุ่ยเสียงเก็บฎีกาจนเรียบร้อย ฮ่องเต้เดินเข้ามาหาแล้วส่งฎีกาที่อยู่ในมือให้เขา ตรัสว่า “พรุ่งนี้เช้า เรียกเขาเข้ามาให้ข้าดูที!”
ศึกที่ชายแดนเหนือบีบคั้นขึ้นทุกขณะ พระองค์ไม่อาจชักช้าได้อีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบคุมให้อยู่ก่อนที่ข่าวจะหลุดออกไป มิฉะนั้นคงจะต้องตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเป็นแน่
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงเพิ่งจะส่งเสียงตอบ เย่าสุ่ยก็ประคองยาที่ต้มเสร็จแล้วเดินเข้ามาพอดี
ฮ่องเต้ได้กลิ่นยาต้มก็ขมวดคิ้วแน่น
“ใต้เท้าเหยียนหลิงกำชับว่า ต้องให้ฝ่าบาทดื่มยาก่อนเข้าบรรทมพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว
ฮ่องเต้รับถ้วยยามาแล้วเงยพระพักตร์กลั้นใจกลอกยาลงไป แต่ด้วยความรีบร้อน ยาต้มที่ยังดื่มไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ไหลเข้าหลอดลม พระองค์ทั้งไอทั้งสำลัก ไอจนกระทั่งอาเจียนเอายาที่กลืนลงไปแล้วออกมาด้วย
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงกับเย่าสุ่ยกระโจนเข้าไปหาทันที พลันพบว่าในยาต้มสีดำคล้ำถ้วยนั้นมีเส้นสีแดงก่ำลอยอยู่หลายเส้น
————————————————–