สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 44.2 ซินเป่าของข้าเป็นหญิงงาม! (2)
อย่างไรก็เป็นเพราะเขาสับสนไปเอง ถึงได้เห็นแค่เงาด้านข้างก็คิดว่าเป็นนางเสียแล้ว
ซูอี้ยิ้มเย้ยหยันตนเอง เวลานี้เขาใจเย็นลงแล้ว จึงมองฉู่ซินรุ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ข้าวู่วามไปจึงจำคนผิด ขออภัยด้วย!”
เขาเอ่ยพลางคารวะอย่างจริงใจ
ฉู่ซินรุ่ยก็เพิ่งเคยถูกล่วงเกินต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็เหมือนยังตกใจไม่หาย นางประคองข้อมือของตนเองไว้และมองเขาอย่างหวาดระแวง
แต่สาวใช้ของนางนั้นกลับตรงไปตรงมามากกว่า…
สองคนนั้นต่างจ้องซูอี้เขม็ง นัยน์ตาฉายชัดว่าไม่เชื่อ!
จำคนผิดอะไรกัน เห็นว่าทำทีเป็นจีบสาวชัดๆ
ซูอี้ก็ไม่ได้โง่ พอเห็นเขาก็เดาความคิดได้ทันที แต่ยังคงยิ้มว่า “ขออภัยด้วย!”
เขาพูดจบก็หันตัวจะเดินจากไป
ฉู่ซินรุ่ยลูบข้อมือของตนเองที่เหมือนร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ตอนที่เหลือบเห็นว่าเขาหันตัวไป สีหน้านางคล้ายจะเจือความอ้างว้างอยู่อย่างเบาบาง ทว่าทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปมองเขาและอมยิ้มว่า “ขอละลาบละล้วงถามสักหน่อย ท่านคือคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นใช่หรือไม่?”
ซูอี้ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา
ทุกกิริยาท่าทางของฉู่ซินรุ่ยงดงาม เพียงแต่เมื่อครู่นางตกใจมากจนลืมตัวไปบ้าง พอตอนนี้ตั้งสติได้แล้วก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขาเองอย่างเยือกเย็น
ช่วงนี้คนในเมืองหลวงให้ความสนใจซูอี้เป็นอย่างมาก พอสองสาวใช้ได้ยินเจ้านายของตนเองพูดชื่อเขาขึ้นมาต่างก็แปลกใจ
แล้วสาวใช้คนหนึ่งก็รีบตีหน้าขรึมและก้าวเข้ามาเอ่ยแทนว่า “เจ้านายของข้าคือท่านหญิงฉางหนิงแห่งจวนอ๋องรุ่ยชิน!”
บุตรสาวเพียงคนเดียวของรุ่ยชินอ๋อง?
เห็นได้ชัดว่าซูอี้ก็นึกไม่ถึงฐานะของนางเช่นกัน เขาตกตะลึงเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง แล้วยิ่งขอโทษอย่างละอายใจว่า “ขออภัยอย่างยิ่ง เป็นเพราะข้าตาพร่าไปชั่วครู่ จึงล่วงเกินท่านหญิงเข้าแล้ว ขอท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วย!”
“แค่เข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง คุณชายรองอย่าได้ใส่ใจเลย!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย
ท่าทางของนางดูเป็นปกติและสุภาพเรียบร้อย แต่มีความเป็นหญิงสูงศักดิ์แบบราชนิกุลอย่างยิ่ง ซูอี้อดที่จะมองนางอีกนิดไม่ได้ เห็นแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกงุนงง…
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสองคนไม่เหมือนกันสักนิด เช่นนั้นภาพลวงตาเมื่อครู่มาจากไหนกันแน่?
ฉู่ซินรุ่ยเห็นเขาเหม่อลอยก็เรียกเขาอีกครั้ง “คุณชายรอง? อีกครึ่งชั่วยามงานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว คุณชายรองรีบร้อนเดินเช่นนี้ นี่ท่าน…”
“อ้อ!” ซูอี้รีบตีหน้านิ่งว่า “ข้ามีธุระด่วนนิดหน่อย คงอยู่รอร่วมงานเลี้ยงไม่ได้แล้ว”
ฉู่ซินรุ่ยสังเกตเห็นว่าเขาใจลอยก็อมยิ้มว่า “เช่นนั้นหรือ งั้นข้าก็ไม่รบกวนเวลาท่านแล้ว ขอตัวก่อน!”
“เชิญท่านหญิงตามสบาย!” ซูอี้เอ่ย แล้วเอียงตัวหลบไปข้างทาง
ฉู่ซินรุ่ยยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยอย่างมีมารยาท แล้วเดินเบี่ยงผ่านข้างตัวเขาไป
ซูอี้รู้สึกสับสนจนอดที่จะหันมองตามนางไปไม่ได้
ขณะที่ทั้งสองคนสวนกันนั้นเงาด้านข้างของนางก็ผ่านตาไปอีกครั้ง ใบหน้านั้น โครงร่างนั้น จริงๆ แล้วคือ…
ถึงแม้จะรู้ดีว่าใบหน้าของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับทำให้เขามองเห็นภาพลวงตาอีกครั้งจนได้
ถึงขั้น…
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบในชั่วพริบตา คิดว่าอาจจะเอื้อมมือไปถอดหน้ากากบนหน้าของนางออกได้ และคืนใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำของเขากลับมาเหมือนเดิม
ไม่ใช่นาง!
นางไม่ใช่นาง!
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือท่าทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่ต่างกันอย่างมากและไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
แต่ว่า…
ซูอี้กลับยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นานแล้วก็ยังไม่สามารถสงบใจลงได้
หลังจากบังเอิญเข้าไปขัดขวางการฆ่าซูหลินกลางคัน ผู้หญิงคนนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ช่วงนี้ชีวิตของเขาเองก็เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง จึงยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เพียงแต่น่าแปลกที่มักจะคิดถึงนางขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่เรื่อย
เขาเผลอยกมือลูบคอตนเอง
บาดแผลตรงนั้นทายาดีของเหยียนหลิงจวินจนหายดีไปตั้งนานแล้ว และไม่เหลือร่องรอยว่าเคยได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่น่าแปลกที่เขาเหมือนจำผู้หญิงแสนลึกลับคนนั้นฝังใจ จนห้ามใจไม่ไหวและมักจะนึกถึงนางอยู่เสมอ
ฉู่ซินรุ่ยเดินห่างออกไปได้ระยะหนึ่งแล้วก็หันกลับไปมองอีก แต่กลับเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
สาวใช้ข้างกายนางอดถามเสียงเบาไม่ได้ว่า “ท่านหญิง คนนั้นคือคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
ฉู่ซินรุ่ยดึงสายตากลับมาและยิ้มให้นางเล็กน้อย แล้วเดินต่อไปอย่างเชื่องช้าจนถึงทางแยกข้างหน้า แต่กลับเห็นชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินอ่อนห้อยอยู่หลังพุ่มไม้ตรงนั้น
ฉู่อี้เจี่ยนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก
“พี่เจ็ด?” ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
นางพูดไปก็หันไปมองทางที่เดินผ่านมาก่อนหน้านี้ แต่ในใจกลับรู้ดีว่าฉู่อี้เจี่ยนน่าจะยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว
“ขาของพี่เจ็ดดีขึ้นพอควรแล้ว ข้าเพิ่งจะเจอใต้เท้าเหยียนหลิง วันหลังข้าจะเชิญเขาไปตรวจท่านแม่ที่จวนอีกสักหน่อย!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย ถือว่าเป็นการอธิบายอย่างบริสุทธิ์ใจ และถึงแม้นางจะรู้ดีว่าฉู่อี้เจี่ยนอาจจะเห็นภาพบนระเบียงคดเมื่อครู่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกกลัว
“อืม ร่างกายของท่านแม่ยังต้องรักษาอีกถึงจะหายดี เชิญเขาไปตรวจอีกหน่อยก็สมควรแล้ว” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเล็กน้อย เขารู้จักน้องสาวของเขาคนนี้ดี “เขาตกลงแล้วหรือ?”
“อื้ม!” ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า “เขาบอกว่าวันมะรืนจะส่งสาส์นแจ้งพี่เจ็ดก่อน”
ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะกลายเป็นคนร่ำรวยเพราะจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกเขา และยังสนิทกับฉู่อี้เจี่ยนเป็นการส่วนตัวมากด้วย แต่ความจริงแล้วหากสังเกตดีๆ ท่าทีที่เขามีต่อทั้งจวนอ๋องรุ่ยชินยังคงอยู่ในระดับมารยาทและเคารพนับถือ และไม่เคยไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมเกินไป
ที่จริงแล้วเมื่อก่อนเวลาฉู่ซินรุ่ยเอ่ยถึงเรื่องส่งสาส์นให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงนัก แม้แต่ก่อนที่นางจะลงไปทางใต้ก็ยังอยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลรักษาร่างกายของรุ่ยหวางเฟยจากเขา
เพียงแต่ครั้งนั้นนางก็ทำไปเพื่อตนเองจริงๆ นางไม่ได้เชิญเขามาที่จวน แต่นัดเจอที่โรงน้ำชา
และ…
เหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้ไปตามนัด เขาแค่ให้เชินหลานไปส่งจดหมายที่เขียนข้อควรระวังไว้ให้นางเท่านั้น
แล้วหลังจากนั้นฉู่ซินรุ่ยก็ไม่ได้เจอหน้าเขาเลยอีกหลายเดือน
ฉู่อี้เจี่ยนเห็นความอ้างว้างฉายวาบในดวงตาของนางแล้วกลับไม่เอ่ยอะไรออกมา แต่เลือกที่จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน เขาหันไปมองอีกฝั่งหนึ่งอีกครั้งและอมยิ้มว่า “จิตใจของเหยียนหลิงจวินไม่ได้อยู่ที่ราชสำนัก แถมยังมีนิสัยอยู่ไม่เป็นที่และเข้าใจยาก เทียบกันแล้วคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นคนนี้ก็เป็นคนเก่งกาจหาตัวจับได้ยาก สงครามชายแดนทางเหนือยืดเยื้อมานานหลายปี แต่เขาสามารถพลิกสถานการณ์ได้ภายในเวลาหลายเดือน…มิน่า ฝ่าบาทถึงได้ทุ่มทุนเอาตัวเขาออกมาจากฝ่ายจวนอ๋องฉางซุ่น ให้เขาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองแล้วก็ต้องใช้งานเขาอีกครั้ง!”
“เขา?” ฉู่ซินรุ่ยมองตามสายตาของเขาไป
ตรงที่ต้นไม้บดบังอยู่บางส่วนนั้นซูอี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ท่าเดิมเพียงคนเดียวและไม่ขยับแม้แต่น้อย
สายตาของฉู่ซินรุ่ยจับจ้องไปยังเงาด้านข้างของเขาแล้วยิ้ม “พี่เจ็ด ปกติท่านไม่ชมใคร”
ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นจากตรงนี้หมดแล้ว ซูอี้…เหมือนจะสนใจเจ้าเป็นพิเศษ”
“เช่นนั้นหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยยิ้มเล็กน้อยอย่างเยือกเย็นตามปกติ แต่ในใจกลับนึกถึงสายตาที่ซูอี้มองนางขณะที่รั้งนางไว้ก่อนหน้านี้อย่างไร้สาเหตุ
มีทั้งประหลาดใจและดีใจ นัยน์ตาคู่นั้นแวววาวเหลือเกิน
————————————————–