สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 44.3 ซินเป่าของข้าเป็นหญิงงาม! (3)
“เขา…” ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกว่าน่าขำจึงยิ้มมุมปากอีก และเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “เหมือนจะจำคนผิดแล้วล่ะ!”
“จำคนผิดหรือจงใจ?” แต่ฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่เห็นด้วยและมองนางอย่างมีเลศนัย
ฉู่ซินรุ่ยตั้งสติกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้านางยังคงงดงามเหมือนเดิม แต่กลับมองฉู่อี้เจี่ยนอย่างเคารพนับถือมาก
ฉู่อี้เจี่ยนเงยหน้าและตบไหล่นาง เขายังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นตามปกติ “ถึงแม้จะจำคนผิดไปก็เป็นวาสนาที่หาได้ยากเช่นกัน เจ้าโตแล้วก็ควรสำรวมหน่อย อย่าให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วงเจ้า”
ฉู่ซินรุ่ยหน้านิ่งไปเล็กน้อย นางรู้ดีว่าฉู่อี้เจี่ยนหมายถึงเหยียนหลิงจวิน
“เจ้าค่ะ!” ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงงดงาม “ข้ารู้ฐานะและภาระหน้าที่ของตนเองดี!”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฉู่อี้เจี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย เขาตบบ่านางอีกครั้งแล้วถึงจะหันตัวเดินจากไป
ฉู่ซินรุ่ยมองตามหลังเขาไปไกลจนกระทั่งหายไปด้วยสีหน้าเช่นเดิม ทว่าสุดท้ายก็ยังหันไปมองลึกเข้าไปในสวนดอกไม้อีก
ตรงนั้นไม่มีเงาร่างของเหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางนานแล้ว แต่นางกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านหญิง ยังจะเดินเล่นในสวนต่อหรือไม่เจ้าคะ?” ชิงเกอสาวใช้ของนางเดินเข้ามาถามเสียงเบา
“ไม่ล่ะ!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย “ชิงเกอ เจ้าไปเอากล่องไม้จันทน์แดงของข้าบนรถม้ามาแล้วนำไปให้ท่านหญิงฉู่เยว่หนิง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ว่างให้นางตอนที่ให้ของขวัญเจ้าสาว ข้าจะไปหานางสักหน่อย!”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเกอรับคำสั่งแล้วจากไป
ฉู่ซินรุ่ยยื่นมือไปให้ฮวนเกอสาวใช้ของนางอีกคนหนึ่งประคองนางเดินไปทางเรือนด้านหลัง
——————————-
หลังจากรอจนทั้งสองคนจากไปแล้ว ฉู่สวินหยางถึงเดินยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมาจากหลังมุมกำแพงที่ไกลยิ่งกว่า
“สร้างสวนดอกไม้ให้ใหญ่หน่อยมีประโยชน์จริงๆ ด้วย ดูท่าทางการแสดงในสวนของพวกเจ้าจะยอดเยี่ยมกว่าที่อื่นเสียอีก!” เหยียนหลิงจวินเดินตามออกมาเช่นกัน
ฉู่สวินหยางสะดุ้งตกใจและหันกลับไปมอง แต่กลับเห็นเขาอยู่แค่คนเดียว ส่วนพวกหลัวเถิงนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว
“ทำไมเจ้า…” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ทิ้งไปแล้ว!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยแล้วก็เปลี่ยนเรื่องทันที เขามองไปยังทางแยกที่ฉู่อี้เจี่ยนกับฉู่ซินรุ่ยเคยยืนอยู่เมื่อครู่อย่างสนใจมากกว่า “เจ้าว่า…เมื่อครู่องค์ชายเจี่ยนกับท่านหญิงฉางหนิงคุยอะไรกัน?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ช่วงนี้ซูอี้กำลังขาขึ้น จึงมีคนไม่น้อยคิดจะใช้ประโยชน์จากเขา จวนอ๋องรุ่ยชินก็ไม่น่าจะ…” เหยียนหลิงจวินเอ่ยแล้วมองนางอย่างลุ่มลึก
ฉู่สวินหยางอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ แต่นางกลับส่ายหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “รุ่ยชินอ๋องยังควบคุมกองทัพอยู่ที่เมืองฉู่ เวลานี้ตำแหน่งของเขาเองก็สุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว หากดึงซูอี้มาเป็นพวกก็จะสะดุดตาเกินไป”
ฉู่ซิ่นเป็นน้องชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของฮ่องเต้ ฮ่องเต้รู้สึกติดค้างน้องชายคนนี้มาตลอดเพราะคดีฆ่าล้างตระกูลฉู่ตอนนั้น ดังนั้นจึงไว้ใจและให้เกียรติฉู่ซิ่นเป็นอย่างมาก
ฉู่ซิ่นก็รู้ดีว่าอะไรควรไม่ควรเช่นกัน หลายปีมานี้เขาประพฤติตนอยู่ในกรอบมาตลอด ถึงแม้จะครอบครองตำแหน่งสูงและเป็นรองคนเพียงคนเดียว แต่เขากลับไม่เคยทำผิดกฎ
ดังนั้นเขาถึงได้ไม่ผิดใจกับฮ่องเต้และเข้ากันได้ดีมาตลอด
“แต่ว่าท่านหญิงแห่งจวนอ๋องรุ่ยชินคนนี้น่ะ…” นัยน์ตาของเหยียนหลิงจวินพราวระยับ และจงใจซ่อนบางอย่างไว้ในรอยยิ้มงดงามนั้น
“ใช่น่ะสิ!” แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ยอมโดนหลอก นางเม้มปากและถอนหายใจอย่างหนัก กล่าวว่า “พวกเขาอบรมสั่งสอนท่านอาของข้าคนนี้มาดีเกินไป ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าสู้นางไม่ได้ หากว่ากันเรื่องหน้าตาและจิตใจแล้ว แม้แต่พวกท่านอาของข้าที่เป็นองค์หญิงราชนิกุลอย่างแท้จริงก็ยังห่างชั้นกับนางอีกไกล”
ตอนนี้นางอ่อนไหวเรื่องเหยียนหลิงจวินเป็นพิเศษ ดังนั้นฉู่ซินรุ่ยต้องมีใจให้เหยียนหลิงจวินอย่างแน่นอน
ทว่าตอนที่นางแกล้งยั่วยุและพูดฉีกหน้าต่อหน้านั้น ฉู่ซินรุ่ยกลับยังสามารถรักษารอยยิ้มไว้ได้เช่นเดิม แค่เผชิญกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้…
ต่อให้เป็นผู้ชายก็ไม่แน่ว่าจะทำได้!
แต่สำหรับฉู่ซินรุ่ยแล้ว…
เชื่อมือได้เลย!
ในมุมมองของฉู่สวินหยางนั้นฉู่ซินรุ่ยเป็นคนเก็บกดมาก ทั้งยังเป็นคนที่คิดถึงฐานะและภาระหน้าที่ของตนเองตลอดเช่นกัน
นางสามารถเข้าใจเรื่องราวมากมายได้ดียิ่งนักและมองได้อย่างเฉยชาเป็นที่สุด
อันที่จริงต่อให้เหยียนหลิงจวินไม่มีนางอยู่ก่อนแล้ว ด้วยชาติตระกูลของเขาเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะสอบผ่าน…
ไม่ว่าอย่างไรรุ่ยชินอ๋องก็ไม่มีทางให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองกับชายาเอกแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน!
ชัดเจนมากว่าฉู่ซินรุ่ยก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นถึงนางจะคบหากับเหยียนหลิงจวิน แต่ก็ไม่ได้เกินเลย…
ความจริงแล้วที่ฉู่สวินหยางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้สักนิดและยิ้มรับได้อย่างสบายมากก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน
ฉู่สวินหยางพูดไปก็มองเหยียนหลิงจวินอีกว่า “ตอนแรกท่านอาเดินเหินไม่คล่อง จริงๆ แล้วที่รุ่ยชินอ๋องคิดก็มีเหตุผล เขาถึงได้ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลที่ดี ตระกูลพ่อตาแม่ยายในอนาคตของเขาจะได้ช่วยค้ำจุนพวกอสังหา
ริมทรัพย์ของจวนอ๋อง พูดถึงเรื่องตั้งใจอบรมสั่งสอนลูกแล้ว เกรงว่าเขาจะใส่ใจลูกสาวคนนี้มากยิ่งกว่าที่ใส่ใจท่านอาเสียอีก”
หากอยากจะให้ตระกูลอยู่อย่างมั่นคงนั้นต้องทุ่มเททั้งสติปัญญาและกำลังในการวางแผนและจัดการ
พูดถึง…
รุ่ยชินอ๋องก็ถือว่าได้คิดทบทวนมาอย่างหนักมากแล้ว
ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินก็ยิ้มแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ฉู่สวินหยางเงยหน้าส่งสายตาถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ยังดีที่พ่อของเจ้าไม่ได้ทุ่มเทใส่ใจเจ้ามากขนาดนั้น จึงกลายเป็นโชคดีของข้าไป” เหยียนหลิงจวินเอ่ย แล้วยกมือขึ้นลูบผมด้านหลังศีรษะนางเบาๆ
ฉู่สวินหยางจ้องเขาเขม็ง “นี่เจ้ากำลังว่าข้าหยาบคายไร้มารยาท? ไม่ได้มารยาทงามเหมือนท่านอาหรือ?”
“ที่ไหนกัน?” เหยียนหลิงจวินยิ้มว่า “นี่ข้าชมเจ้าว่าตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และน่าเอ็นดูต่างหาก หากตอนนั้นองค์รัชทายาทอบรมสั่งสอนให้เจ้านิสัยแบบท่านหญิงฉางหนิงจริง ข้าก็…”
ช่วงนี้คนๆ นี้ยิ่งได้คืบจะเอาศอก อยากพูดอะไรก็พูดตามใจชอบ
ฟัง ‘คำชม’ ของเขาแล้ว ฉู่สวินหยางก็อึดอัดใจจนหน้าแดง ยิ่งฟังคำพูดครึ่งหลังของเขา นางก็เลิกคิ้วและโพล่งออกไปทันทีว่า “เจ้าก็อย่างไร?”
พูดออกไปเรียบร้อยแล้วชัดๆ หากเขากล้ากลับคำล่ะก็ต้องเตรียมหมัดแสกหน้าให้เขาสักหมัด
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางของนาง รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งฉายชัดขึ้นมา เขาก้มตัวลงไปใช้สองมือค้ำยันเข่าเอาไว้ พลางจับสังเกตใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิดและละเอียด
ฉู่สวินหยางถูกเขาจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้ก็ขมวดคิ้วและถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ข้าก็ยังจะชอบเจ้าอยู่ดี!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยอย่างกะทันหัน สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคารพและเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว ท่าทางจริงจังเช่นนี้พลอยทำให้ฉู่สวินหยางใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกตามไปด้วย
นางมองเขาอย่างแปลกใจและงุนงง
——————————————————-