สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 46.2 เล่นไม่ซื่อ แย่งผู้ชาย! (2)
ฉู่สวินหยางตกใจ เมื่อรู้สึกตัวถึงค่อยเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ จากนั้นก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา
นางไม่เคยจำเป็นต้องไปอธิบายเรื่องของนางกับเหยียนหลิงจวินให้ใครฟัง แต่เห็นได้ชัดเลยว่า…
หลัวเถิงกำลังเข้าใจผิดว่าการที่ซูอี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวังบูรพานั้น เป็นหนึ่งในแผนการของเหยียนหลิงจวินที่ต้องการจะเข้าหานางงั้นรึ?
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า!” สุดท้ายฉู่สวินหยางทำได้เพียงแค่บอกเขาไปแบบนั้น “เวลาก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ!”
“ท่านหญิง!” คิดไม่ถึงเลยว่าหลัวเถิงจะเดินเข้ามาขวางนางเอาไว้ เขาจ้องตานาง กัดฟันลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หรือว่า…ข้าจะไม่มีโอกาสเหลืออยู่แล้ว?”
“อะไรนะ?” ฉู่สวินหยางสบตามองอีกฝ่ายอย่างมึนงง
ใบหน้าของนางสงบนิ่งน่าเกรงขาม แววตาเด็ดเดี่ยวบริสุทธิ์
ด้วยความรู้สึกใจเย็นที่ไม่สนใจใครแบบนั้น กลับทำให้หัวใจของหลัวเถิงหล่นลงไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง…
เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของนางไม่เคยมีเขาอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
อุตส่าห์ปลุกความกล้าพูดออกมาแล้วแท้ๆ เดิมทีหลัวเถิงเองก็เตรียมใจรับมือเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียได้…
กลัวว่าหากครั้งนี้ถูกปฏิเสธไป เขาจะไม่เหลือโอกาสอีกเลยแม้แต่นิดเดียว
“ข้าขอโทษ!” ใจของเขาสั่นกระตุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามฝืนยิ้มออกมา แล้วรีบหันหลังเดินจากออกไปอย่างว่องไว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แผ่นหลังที่วิ่งจากออกไปนั้นมันช่างตื่นเต้นลุกลนเหลือเกิน
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว มองรถม้าของตระกูลหลัวที่จากออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง นางรีบเก็บสีหน้าอารมณ์ลงแล้วหันไปมองที่มาของเสียง ก็เห็นว่าชิ่งเฟยกับหลานซีกำลังเดินออกมาจากในตัวเรือน
“ชิ่งเฟย? ทำไมท่านยังไม่กลับไปอีกเล่าเจ้าคะ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถาม เดินเข้าไปหานางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เดิมทีก็ว่าจะกลับอยู่แล้ว แต่พอเดินมาถึงสวนก็เพิ่งเห็นว่าทำผ้าเช็ดหน้าตกที่งานเลี้ยงน่ะ ก็เลยเสียเวลากับเรื่องนั้นอยู่ครู่หนึ่ง” ชิ่งเฟยกล่าว ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มโอบอ้อมอารี ให้ความรู้สึกสุภาพและสง่างามเป็นอย่างมาก
พวกนางสองคนทักทายกันสองประโยคเสร็จ ฉู่สวินหยางก็เดินหันหลังจากออกไป
ในระหว่างที่ไหล่เฉียดชนกัน ฉู่สวินหยางเองก็ปรายตามอง จึงสังเกตเห็นแววตาของหลานซีที่เอาแต่ก้มหน้านั้นมีพิรุธและพยายามหลบสายตาอย่างสุดชีวิต
เจิงจีเองก็ตามออกมาอย่างรีบร้อน
“เป็นอย่างไรบ้าง แขกกลับไปหมดแล้วใช่ไหม?” ฉู่สวินหยางเบนสายกลับมาแล้วหันไปมองเขา
“ขอรับ!” เจิงจีตอบ “พระชายาชิ่งเฟยเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วขอรับ”
ฉู่สวินหยางเบนสายตากลับมา จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นออกจึงพูดขึ้นว่า “พระชายากลับออกมาดึกแบบนี้ไปไหนมารึ?”
“อะไรนะขอรับ?” เจิงจีคิดไม่ถึง เขาสูดหายใจเข้าลึก “หรือว่าคนที่ท่านหญิงสงสัยอยู่คือ…”
“ก่อนหน้านี้หลัวซื่อจื่อจับคนผู้นั้นให้คอยชี้ตัวคนร้ายอยู่ เสียดายนางกลับออกมาดึกแบบนี้…” ฉู่สวินหยางกล่าวคลุมเครือไม่ชัดเจน
หากคนคนนั้นไม่ได้พูดโกหกล่ะก็ ภายในคนกลุ่มนั้นไม่มีคนที่ซื้อตัวเขาไป งั้นตอนนี้…
จู่ๆ ชิ่งเฟยกับข้ารับใช้ที่อยู่เป็นคนสุดท้ายอย่างน่าบังเอิญแบบนี้มันก็น่าสงสัย
“หากเรื่องมันลุกลามไปถึงในวังล่ะก็ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน” เจิงจีรู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางพูดโดยไม่มีมูล แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรแล้ว เรื่องนี้มันก็ช่างเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขเหลือเกิน
“ก็เป็นเพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะคนในวังนั่นแหละ ถึงได้ยิ่งห้ามปล่อยให้ลอยนวล” แววตาของฉู่สวินหยางเย็นชา มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้าไปบอกท่านพ่อให้เขารู้ไว้หน่อยเถิด!”
เจิงจีตกใจขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ขอรับ!”
พูดจบก็รีบเดินกลับไปยังตัวเรือนด้วยความรวดเร็ว
“ท่านหญิง…” เมื่อเขาเดินจากไป เจี๋ยหงก็เดินขึ้นหน้ามาหานาง
“ไปเถิด!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า จากนั้นเจี๋ยหงก็รีบมุ่งหน้าเดินไปท้ายเรือน
บนรถม้า หลัวซืออวี่ยื่นถ้วยชาให้หลัวเถิงที่จิตใจเหม่อลอยอยู่
หลัวเถิงเองก็รับถ้วยชามากำไว้แน่นแล้วยกขึ้นซดอย่างไม่ต้องคิด
“ท่านพี่เจ้าคะ?” หลัวซืออวี่เพิ่งมั่นใจว่าเขาผิดปกติไป จึงรีบแกะมือของอีกฝ่ายออกแล้วแย่งถ้วยชานั้นกลับคืนมา
ชาในถ้วยกระเซ็นออกมาจนหยดลงบนหลังมือ ตอนนั้นหลัวเถิงถึงค่อยรู้สึกได้ถึงความร้อนของชาถ้วยนั้น
“เมื่อกี้ข้ากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ เลยไม่ทันได้ระวัง!” เขายิ้มแก้เก้อ
หลัวซืออวี่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา มองอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล แล้วเอ่ยถามพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อกี้ท่านพี่คุยอะไรกับท่านหญิงสวินหยางหรือเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก อีกสองวันให้หลังจะมีพิธีกลับมาเยี่ยมญาติของท่านหญิงสี่เขาน่ะ” หลัวเถิงตอบแล้วยิ้มออกมา
คำพูดโกหกแบบนี้ หลัวซืออวี่ไม่จำเป็นต้องหักหน้าอีกฝ่ายหรอก ในเมื่อพวกเขาสองพี่น้องสนิทรู้ใจอีกฝ่ายกันยิ่งกว่าอะไรดี!
หลัวเถิงเห็นว่านางเอาแต่จ้องมองตน จึงกระตุกมุมปากขึ้นอีกครั้ง เบนสายตาหนีแล้วนิ่งเงียบไป
หลัวซืออวี่เองก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมา ทว่าในใจของนางกลับรู้ดี นางขยับเข้าไปใกล้เขาขึ้นอีกแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านพี่ ตั้งแต่เมื่อไรที่ท่าน…”
นางรู้สึกได้ว่าปฏิกิริยาที่หลัวเถิงมีต่อฉู่สวินหยางนั้นมันไม่ปกติ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้
หลัวเถิงหน้าแดงขึ้นระเรื่อ พูดอย่างเก้อเขินว่า “เจ้าอย่าเดาซี้ซั้ว ข้า…”
“ข้าเดาซี้ซั้วจริงงั้นหรือเจ้าคะ?” หลัวซืออวี่พูดตัดหน้า กระตุกแขนเสื้อเขา จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ
การที่หลัวเถิงต้องเผชิญหน้าอยู่กับสายตาของอีกฝ่ายที่มองปราดเดียวก็เข้าใจทุกอย่างแล้วนั้น สุดท้ายเขาก็ต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้อยู่ดี
“ข้าเข้าใจและรู้ทุกอย่าง!” เขามองหลัวซืออวี่ หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นแล้วพูดขึ้นว่า “อีกอย่าง…เรื่องนี้มันก็เป็นเพียงแค่รักข้างเดียวของข้าเอง มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ”
หลัวเถิงเป็นคนหนักแน่นในความรู้สึกยิ่งนัก เขาไม่ค่อยเผยความรู้สึกใดให้คนนอกเห็น แต่ครั้งนี้เขาสูญเสียการควบคุมจิตใจมากอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
หลัวซืออวี่ยังเป็นกังวลอยู่ นางมองอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง คิดวิเคราะห์อยู่นานสุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ทั้งความเฉลียวฉลาดและหน้าตาอันสะสวย ท่านหญิงสวินหยางไม่เป็นสองรองใคร การที่ท่านพี่มีใจให้นางมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ว่า…”
นางพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็เผยสีหน้าขมขื่นออกมา แล้วส่ายศีรษะเบาๆ “ตอนนี้สถานการณ์ภายในราชวงศ์นั้นซับซ้อนวุ่นวายยิ่งนัก ท่านพี่เองก็รู้จักนิสัยท่านพ่อดี เขาไม่ยอมเข้าพวกกับฝั่งไหนเป็นพิเศษเสียที แถมยังไม่ยอมปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนควบคุมอนาคตของตระกูลหลัวอีก นอกเสียจากว่าจะรอถึงวันที่ฮ่องเต้สวรรคต องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองตำแหน่งแล้วสืบทอดอำนาจต่ออย่างเป็นทางการวันนั้น ไม่งั้น…เขาคงไม่ยินยอมอนุญาตให้พวกเราสกุลหลัวแต่งงานปรองดองกับครอบครัวอื่นหรอกเจ้าค่ะ”
สำหรับเรื่องนี้แล้ว สถานภาพของหลัวเหว่ยเองก็ชัดเจนแน่วแน่ หากฮ่องเต้ไม่สละอำนาจ ตำแหน่งของจวนหลัวกั๋วกงก็จะยังคงมีอำนาจคับฟ้า พวกเขาไม่จำเป็นที่ต้องไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่ออำนาจอะไรนั่นเลย
แต่ถ้าหากรอให้ฉู่อี้อันขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องแล้วล่ะก็?
ถึงตอนนั้นฉู่สวินหยางก็คงมีเจ้าของไปแล้ว!
ทำไมหลัวเถิงจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพียงแค่ว่า…
ทุกๆ ครั้งที่เจอนางเขามักจะเสียอาการทุกครั้งต่างหากเล่า!
นานมากแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีใจให้หญิงคนหนึ่งจนคิดถึงอีกฝ่ายทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ แต่ว่า…
“ซืออวี่…” หลัวเถิงพยายามระงับความขมขื่นเอาไว้ แล้วเงยหน้ามองหลัวซืออวี่
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร? ระหว่างผลประโยชน์ของครอบครัว ความต้องการของท่านพ่อ และชายที่เจ้ารัก สามอย่างนี้เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
“ข้ารึ?” หลัวซืออวี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงามนิ่งสงบเหมือนเคย นางหันไปมองหลัวเถิง ไม่เพียงแต่จะตอบแต่ถามกลับอีกฝ่ายว่า “ท่านพี่มีใจให้นาง? แล้วนางเล่า?”
หลัวเถิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกราวกับถูกของแข็งโจมตีเข้าที่อกอย่างแรงจนชาไปทั่วทั้งตัว
นั่นสิ เขาบอกว่าตนชอบอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายเล่า? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรสุดท้ายแล้วมันก็แค่สามคำนั้น…
รักข้างเดียว!
———————————————–