สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 48.1 พระชายานั้นห้าวหาญ ฝ่าบาทรู้หรือไม่? (1)
“เลือด เลือดเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ!” ชิงเถิงเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง โพล่งอุทานออกไปด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้ที่เดินไปจนถึงหน้าประตูเรือน จู่ๆ ฝีเท้าก็ช้าลงโดยแทบจะไม่มีใครทันสังเกตเห็น
สายตาของฉู่สวินหยางนั้นมองตามเขาอยู่ตลอด แม้ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็ยังถูกนางจับได้อยู่ดี
ด้านคนอื่นๆ ก็หยุดเดินเช่นกัน ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปมองทางหลัวอวี่ก่วน
หลัวอวี่ก่วนเดิมทีก็ขวัญหนีดีฝ่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจ้องมองนางเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ถึงกับกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ ก้าวถอยไปด้านหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
พื้นกระเบื้องที่นางนั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่ เวลานี้กลับปรากฏเลือดสดไหลไปตามร่องนั้น
หลัวอวี่ก่วนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
หลัวเสียงยิ่งแล้วใหญ่ ขนอ่อนตามตัวลุกขึ้นพรึบอย่างทันที
เป็นเซียงเฉ่าที่ตกใจมากที่สุด นางแข้งขาอ่อนลงไปกับพื้น กล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “คุณหนู…”
“นี่มันอะไรกัน?” ฉู่สวินหยางที่ตามอยู่ด้านหลังของฉู่อี้อัน ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เวลานี้หลัวอวี่ก่วนจึงค่อยรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาหลังจากที่ผ่านไปแล้วชั่วครู่ ยกมือขึ้นมาพยุงท้องในชั่วพริบตา
บนหน้าผากนั้นมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดไหลลงมา
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกจากฉู่สวินหยางแล้ว คนอื่นๆ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายล้วนแต่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมกระจ่างใจขึ้นมาอย่างทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ฉู่อี้ชิงใบหน้าเปลี่ยนสีอย่างทันทีทันใด ความเดือดพล่านพุ่งกระฉูดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
แววตาของชายาสี่มีแสงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่นหัวเราะเย็นออกมา มองไปทางฉู่อี้ชิงทั้งกล่าวอย่างเสียดสี
“ที่แท้นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่เอง ท่านอ๋อง คุณหนูหลัวผู้นี้ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ท่านก็ไม่ดูให้ดีเสียหน่อย!”
เส้นเลือดที่หน้าผากฉู่อี้ชิงเคร่งขึ้นมา เผยใบหน้าดำคล้ำกล่าวอย่างโมโห “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?”
“ข้าพูดเหลวไหลงั้นรึ?” ชายาสี่เลิกคิ้วอย่างไม่คิดที่จะยอมเขา เมื่อครู่นางได้รับสายตาเย็นเยียบจากฮ่องเต้ เวลานี้ย่อมต้องหาวิธีกู้หน้ากลับคืนมา นางหยัดหลังตรงกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องเป็นห่วงท้องนั้นของคุณหนูสามก่อนเถิด กลับไปอาจจะพลาดพลั้งเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เช่นนั้นข้าก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหวแน่”
ช่วงเวลานี้ฉู่อี้ชิงก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วในใจรู้สึกอย่างไรกันแน่
เดิมทีเขาก็เพียงโชคไม่ดีเท่านั้น เพราะว่าเรื่องรักใคร่ชู้สาวเช่นนี้ถูกฮ่องเต้ด่าเป็นยกใหญ่ก็นับว่าเลวร้ายมากพอแล้ว แต่เมื่อเรื่องนี้เขาเป็นคนกระทำเอง ก็ทำได้เพียงแต่ก้มหน้ารับผิดไป ทว่าเวลานี้กลับเห็นหลัวอวี่ก่วนเป็นเช่นนี้ ในใจก็มีความโกรธเกรี้ยวพุ่งขึ้นมาโดยทันที ชั่วขณะนั้นราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง…
บังเอิญถึงขนาดที่พบเจอหญิงสาวผู้นี้ที่นี่ แต่เดิมทีแล้ว…
ผู้หญิงคนนี้กลับได้แอบตั้งครรภ์กับคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็คิดที่จะสวมเขาให้แก่เขา
การเสียรู้เช่นนี้ แม้ว่าจะแค่ขายหน้าแต่ฉู่อี้ชิงก็ไม่อยากที่จะรับมัน
เขาประกายตาวาบ มองไปที่สองพี่น้องสกุลหลัวทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “ดียิ่งนัก ที่แท้ก็วางอุบายมาที่ข้านี่เอง นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
หลัวเสียงเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าหลัวอวี่ก่วนด้านข้างกลับเจ็บปวดจนยกเอวแทบไม่ขึ้น นางดึงชายเสื้อเขา ก่อนจะเข่าอ่อนลงไป กล่าวด้วยเสียงสั่น “ท่านพี่ เจ็บ ข้าเจ็บเหลือเกิน ช่วยข้าด้วย!”
ที่นี่คนมากขนาดนี้ เดิมทีก็ไม่มีพื้นที่ให้หลัวเสียงได้พูดอยู่แล้ว
หลัวเสียงใจร้อนดังไฟ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ก่อนดี จึงลุกขึ้นยืนอย่างทำอะไรไม่ถูก
ชายาสี่กลับไม่สนใจคำพูดเมื่อสักครู่ของฉู่อี้ชิงเท่าไร เพียงแค่รู้สึกยินดีอยู่ในใจ มองไปยังหลัวอวี่ก่วนที่ตัวสั่นไปทั่วทั้งตัว ก่อนจะกล่าวเรียบเย็นออกมา “อย่างไรก็ตามหมอมาก่อนเถิด!”
“ตามหมอมาทำไม?” จู่ๆ ก็ถูกสวมเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เรื่องนี้ฉู่อี้ชิงไม่ยอมแน่ เขาสะบัดมือออกจากชายาสี่ เดินสองก้าวพุ่งเข้าไปด้านหน้าหลัวอวี่ก่วน ทั้งกล่าวอย่างโมโห “พูดมาสิ! ในท้องของเจ้า คนสารเลวผู้ใดเป็นคนทำ จึงได้คิดจะโยนมาที่ข้าเช่นนี้!”
“ข้า…” ในท้องนั้นราวกับถูกรัดอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าหลัวอวี่ก่วนจะกลัวท่าทีเช่นนี้ของเขา แต่ก็ยังคงควบคุมสติเอาไว้ได้อยู่ ใบหน้าพรั่งพรูไปด้วยน้ำตา เงยหน้ามองไปทางเขา “ท่านนี้พูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นี่กะจะไม่ให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่?”
แม้ว่าฉู่อี้ชิงจะแค้นเคืองอย่างไร แต่ก็ไม่อาจจะลงมือฆ่านางตรงนี้ได้หรอก ตามที่หลัวเสียงกล่าว ทำอย่างไรก็ได้ให้ผ่านวันนี้ไปก่อน ท้ายสุดแล้วนางก็แค่เปลี่ยนชื่อหลบหนีออกไปให้ไกลก็พอแล้ว
แต่หากยอมรับว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของซูหลิน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับนางอย่างแน่นอน
ฉู่อี้ชิงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ข่มกลั้นโมโหต่อไปไม่ไหว ยกมือเตรียมจะเข้าไปจับนาง!
ฮ่องเต้ที่จับตามองดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเยือกเย็นก็หลับตาลงไปโดยทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “พอได้แล้ว!”
ฉู่อี้ชิงตกใจจนชะงักไป ยั้งมือด้วยสัญชาตญาณ
ฮ่องเต้กล่าวออกคำสั่งกับหลี่รุ่ยเสียง “ไปดูทางเรือนด้านหน้า หากมีหมอท่านไหนอยู่ก็เชิญตัวมา”
ฮูหยินใหญ่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็รีบเร่งกล่าวกำชับกับหรูโม่ “รีบช่วยพยุงคุณหนูหลัวเข้าไปให้ห้องเร็วเข้า!”
“เจ้าค่ะ!” หรูโม่รับคำสั่ง ชิงเถิงก็วิ่งเข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนช่วยพยุงหลัวอวี่ก่วนเข้าไปด้านในห้อง โดยเหลือรอยเลือดหยดไหลไปตามทาง
ฉู่อี้ชิงโกรธจนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ กัดฟันพุ่งตัวก้าวไปด้านหน้าฮ่องเต้ กล่าวเสียงดัง “เสด็จพ่อ มารหัวขนในท้องนั้นข้าไม่ได้เป็นคนทำนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ประกายตาเย็นเยียบ
ฉู่อี้ชิงปรากฏเหงื่อเย็นขึ้นทั่วร่างทันที
ชายาสี่ด้านข้างกลับรู้สึกดีใจที่เห็นผู้อื่นเป็นเดือดเป็นร้อน ส่งเสียงเหอะในลำคอก่อนกล่าว “กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ นี่ดูไม่ใช่นิสัยของท่านอ๋องเอาเสียเลย อย่างไรท่านก็ตัดสินใจจะเอาคนกลับไปนี่ จะหนึ่งคนหรือสองคนนับว่าแตกต่างอันใด?”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” ฉู่อี้ชิงกล่าวเสียงเย็น ยังคงตั้งใจอธิบายอะไรสักอย่างให้ฮ่องเต้ฟังอย่างร้อนใจ
“พอแล้ว! ข้าไม่ฟังคำพูดเหลวไหลพวกนี้ของเจ้าทั้งนั้น ตั้งแต่วันนี้ต่อไป เจ้าก็ขังตัวเองในห้องทบทวนดู เมื่อใดที่เจ้ามีคำอธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้ว เมื่อนั้นก็ค่อยมาพบหน้าข้า!” ฮ่องเต้ตะเบ็งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว
ชายาสี่เมื่อได้ฟังกลับเบิกบานอยู่ในใจ มุมปากกระตุกยิ้มขึ้น
โจวกุ้ยเฟยก็ถูกถอดยศไปแล้ว เดิมทีนางก็ขอแค่เพียงมีชีวิตที่สงบสุขแค่นั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้หวังให้ฮ่องเต้เห็นดีเห็นชอบเขาอยู่ในสายตา กักขังเขาไว้ในบ้านเช่นนี้ก็ยังดีกว่าเขาออกไปผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างมั่วซั่ว
ฮ่องเต้ทิ้งคำพูดไว้อย่างเรียบเย็น ก็ยกฝีเท้าก้าวเดินจากไปทันที!
“เสด็จพ่อ!” ฉู่อี้ชิงเรียกเสียงดังอย่างไม่ยินดี รีบก้าวเท้าตามออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่อี้อันไม่ได้กล่าวอันใด ก็ก้าวเดินตามออกไปเช่นกัน โดยมีฮูหยินใหญ่ตามหลังไปติดๆ
ตั้งแต่เรื่องนี้เกิดขึ้น ชิ่งเฟยก็ไม่ได้พูดอันใดสักคำ คนผู้นี้ราวกับไร้วิญญาณก็มิปาน เอาแต่สับสนงงงวยอย่างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เวลานี้ฮ่องเต้เดินจากไปแล้ว นางกลับมึนอยู่ตรงนั้น ผ่านไปค่อนวันก็ลืมเสียซึ่งสติ
ฉู่สวินหยางเดินด้วยหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามา “พระชายา?”
ชิ่งเฟยตกใจไปชั่วครู่ เวลานี้จึงค่อยฟื้นคืนสติกลับมา รีบกลบเกลื่อนอาการที่ล่อกแล่กในดวงตาอย่างรวดเร็ว
“ข้า…ก็จะไปแล้วเหมือนกัน!”
พูดจบหลานซีก็พยุงนางราวกับจะพาหลบหนีออกไปก็มิปาน
ฉู่สวินหยางมองตามแผ่นหลังของนางจึงค่อยแย้มยิ้มเล็กน้อย กลับไม่ได้เดินตามผู้คนออกไป แต่รั้งอยู่ที่นี่เพื่อรอจะจัดการกับปัญหาอื่นๆ จนกระทั่งหลี่รุ่ยเสียงเชิญหมอเจิ้งที่มาร่วมงานเลี้ยงเข้ามา นางจึงค่อยหมุนกายออกจากเรือนนั้น
เดินมาถึงหน้าประตูก็เจอกับฉู่อี้ชิงที่วิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอกด้วยอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยว
“เสด็จอาสี่!” ฉู่สวินหยางก้มหัวเล็กน้อย
“อืม!” ฉู่อี้ชิงที่กำลังอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัดนั้น ตอบรับอย่างไปทีก็เดินผ่านนางเข้าไปในเรือน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ยกหมัดชกไปที่หลัวเสียงจนเขาล้มลงไปกับพื้น
——————————————————