สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 48.4 พระชายานั้นห้าวหาญ ฝ่าบาทรู้หรือไม่? (4)
ทำได้แค่เพียงถลึงตา ปล่อยให้สองคนนั้นจับนางและหลัวเสียงไปยังเตียงด้านในเท่านั้น จากนั้นก็ลงมือเปลื้องเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว โยนกระจัดกระจายเต็มพื้น
“ตอนนี้จะทำอย่างไรอีก?” ขณะสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ท่านหญิงกล่าวว่าเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว” อีกคนหนึ่งกล่าว ขณะพูดก็หันกลับไปมองดูอย่างหยามเหยียด “รนหาที่ตายเสียจริง ถึงขนาดกล้าคิดวางแผนกับคุณชายรองซูงั้นรึ?”
“ใช่!” หญิงคนที่อยู่ด้านหน้านั้นหัวเราะเย้ยขึ้นมา กดเสียงต่ำลงกล่าวกระซิบข้างหูกับอีกคน “วันนี้ท่านหญิงลงทุนช่วยเหลือคุณชายรองขนาดนี้ เจ้าว่าหากกลับไปแล้วคุณชายรองท่านทราบ ท่านหญิงของพวกเราก็จะสมหวังแล้วใช่หรือไม่?”
“พูดอะไรน่ะ? เจ้ายังกล้าพูดถึงนายท่านเช่นนี้อีก? รีบไปกันเถิด!”
สองคนกระซิบกระซาบ ก่อนจะพากันเดินออกจากประตูไป
บรรยากาศในห้องจึงเงียบลงชั่วขณะ
ชิ่งเฟยนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ในหัวก็มึนงงไปหมด ครุ่นคิดวนไปวนมาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า!
ฉู่เยว่ซินมีใจให้ซูอี้? ดังนั้นครั้งนี้นางก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายส่งเนื้อเข้าปากเสือด้วยตนเอง? พอหวนคิดกลับไป ในตอนที่ชิ่งเฟยและนางคิดวางแผนเรื่องซูอี้ ปฏิกิริยานั้นของฉู่เยว่ซิน ชิ่งเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจขึ้นมา…
มิน่าเล่าอีกฝ่ายแทบไม่มากความอะไรก็ตอบตกลงช่วยนางทันที!
มิน่าเล่าแผนทั้งหมดที่วางไว้ล้วนแต่สูญเปล่า!
มิน่าเล่าหลัวอวี่ก่วนถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น!
แล้วก็มิน่าเล่าที่เวลานี้ตัวเองถูกขังอยู่ที่นี่ ต่อให้ร้องจะเป็นจะตายอย่างไรก็มิอาจมีใครมาช่วยได้!
ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของฉู่เยว่ซิน!
นังเด็กอสรพิษเจ้าเล่ห์คนนั้น จะลากหลัวอวี่ก่วนลงหลุมก็แล้วไป แต่นี่ยังคิดที่จะลากนางลงไปด้วย!
คิดถึงสภาพตัวเองในตอนนี้ ชิ่งเฟยก็หวาดกลัวจนอยากจะร้องไห้ออกมา
กระนั้นความคิดที่น่าหงุดหงิดเหล่านี้ก็ไม่ได้รบกวนนางอยู่นานนัก ผ่านไปชั่วครู่ ยาที่สองคนนั้นยัดใส่ปากนางก็เริ่มออกฤทธิ์ ร่างกายค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมา ในหัวสับสนอลม่านล้วนแต่ปรากฏภาพวาบหวามพวกนั้นขึ้นมา
ทว่าหลัวเสียงที่อยู่ด้านข้างนางนั้นกลับไม่ได้เวียนหัวอยู่นานนัก เวลาประมาณไม่เกินครึ่งก้านธูป[1] ก็เริ่มเคลื่อนไหว หายใจอย่างกระหืดกระหอบขึ้นมา ทั้งยังมีท่าทีดูสับสนวุ่นวาย
แรงกระตุ้นที่รุกเร้าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็แทบที่จะไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ทั้งสองคนบดเบียดร่างเข้าหากันอย่างทันที
ฉู่สวินหยางออกมาจากศาลาก็เดินเข้าไปในงานเลี้ยงต่อ
เพราะว่าฮ่องเต้มาเยือนอย่างกะทันหัน บรรยากาศทางด้านนั้นจึงกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา แขกเหรื่อที่อยู่ที่นั่นต่างก็พากันสำรวมกิริยาตามไปด้วย
ก่อนหน้านี้ชายาสี่ก่อเรื่องไว้อย่างใหญ่โต เรื่องราวของฉู่อี้ชิงนั้นได้แพร่สะพัดระหว่างผู้คนไปบ้างแล้ว ทุกคนล้วนแต่รู้ว่าท่านอ๋องในตอนนี้อารมณ์ย่อมไม่ดีแน่ ก็ยิ่งระมัดระวังตัวเองมากขึ้นไปอีก
และฮ่องเต้ก็ยังอารมณ์คุกกรุ่นอยู่เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน แต่กลับประจักษ์แจ้งชัดว่า ในแววตานั้นยังคงมีท่าทีเยือกเย็นแฝงอยู่บ้าง
“นั่งลงเถิด วันนี้เป็นวันมงคลที่หนิงเอ๋อร์กลับสู่เรือน ข้าเพียงมาดื่มสุรามงคลอวยพรให้หลานสาวก็เท่านั้น” หลี่รุ่ยเสียงพยุงฮ่องแต้นั่งลง ฮ่องเต้ก็เผยยิ้มต้อนรับไปพลาง
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!” ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับเข้าที่
แววตาของหลี่ลุ่ยเสียงกวาดมองไปรอบๆ เล็กน้อย ทันใดนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้น…
“ฝ่าบาท อย่าดื่มมากนะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปหาหมอประจำของวังบูรพา ขอยาสร่างเมามาเตรียมให้พระองค์ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” ประคองฮ่องเต้นั่งลงแล้ว หลี่รุ่ยเสียงก็กล่าวขึ้น
สองนายบ่าวคู่นี้รู้ใจกันมาหลายปีแล้ว ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รีบประกายสายตา ค่อยๆ เบนมองไปทางเขาอย่างทันที
หลี่รุ่ยเสียงเพียงแค่ก้มหัวลงเล็กน้อย หมุนกายถอยลงไป ตอนกำลังจะเดินไปอีกทางของสวนดอกไม้ กลับพบกับกระโปรงสีชมพูเข้มสีสันสดใสพริ้วไหวอยู่ตรงหน้า
หลี่รุ่ยเสียงถูกขวางเอาไว้ จึงเงยหน้าขึ้นมา ประจันหน้ากับฉู่สวินหยางที่เผยใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม
“ท่านหัวหน้าขันทีกำลังจะไปไหนรึ?” ฉู่สวินหยางกล่าวถาม
“ท่านหญิงสวินหยาง!” หลี่รุ่ยเสียงค้อมกายคารวะ หันกลับไปมองทางฮ่องเต้ ก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “วันนี้ฝ่าบาทยากที่จะมีโอกาสรื่นเริงเช่นนี้ บ่าวจึงเกรงว่าพระองค์จะดื่มสุรามากไปจนทำลายสุขภาพ กำลังคิดว่าจะไปหาหมอประจำจวนของท่าน เพื่อขอยาสร่างเมาเตรียมไว้สักหน่อยขอรับ”
“อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นให้ข้าไปกับท่านหัวหน้าขันทีเถิด ท่านขันทีนั้นไม่ค่อยได้มาที่จวนของข้า เกรงว่าจะหาที่นั้นไม่พบ” ฉู่สวินหยางกล่าว ขณะที่พูดก็เหลือบมองฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง “ยังคงเป็นท่านที่คิดรอบคอบแทนเสด็จปู่ เสด็จปู่พระชนม์อายุมากแล้ว มิอาจดื่มสุราหนักได้แน่!”
หลี่รุ่ยเสียงมองนางที่เผยรอยยิ้มสดใส กลับไม่ส่งเสียงตอบรับไปชั่วขณะ จนกระทั่งฉู่สวินหยางเรียกเขาอีกครั้ง “ท่านหัวหน้าขันที?”
“อ้อ!” หลี่รุ่ยเสียงรีบหวนสติกลับคืน เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงตอบรับไป “เช่นนั้นก็ลำบากท่านหญิงหน่อยแล้ว!”
สวินหยางแย้มยิ้มกล่าวกับเขา “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปบอกท่านพ่อเสียหน่อย”
พูดจบก็รีบก้าวเข้าไปบอกกล่าวกับฉู่อี้อัน
ฉู่อี้อันและฮ่องเต้นั่งอยู่ติดกัน แน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมได้ยินคำพูดนี้ของนางไปด้วย เพียงแต่เป็นการปรารถนาดีของนาง ฮ่องเต้จึงไม่เอ่ยขัดอะไร ทำเป็นฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ส่ายศีรษะเล็กน้อยหันไปทางหลี่รุ่ยเสียง
หลี่รุ่ยเสียงได้รับการบอกเป็นนัยของเขา ก็ก้มหัวเล็กน้อย ในตอนที่เก็บสายตากลับมา ฉู่สวินหยางก็เดินกลับมาแล้ว “ไปกันเถิด ท่านหัวหน้าขันที!”
“ขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว ทั้งสองคนเดินตามกันไป ทั้งยังพาผู้ติดตามอีกไม่กี่คนเดินไปด้านหน้าเรือนด้วย
เมื่อเข้าไปเอายาจากหมอมาเรียบร้อยก็ออกมาจากเรือนนั้น ก่อนจะเดินไปทางสวนดอกไม้
เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอันใด แต่เพิ่งจะก้าวผ่านประตูโค้งไป ก็พบกับสาวใช้คนหนึ่งเดินเช็ดน้ำตาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“สุ่ยอวี้?” ฉู่สวินหยางชะงักฝีเท้า เรียกนางเอาไว้ “เจ้าไม่ต้องตามพี่รองหรอกหรือ มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
“ท่านหญิงเจ้าคะ!” สุ่ยอวี้เมื่อเห็นนาง ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที ราวกับพบเจอคนที่สามารถช่วยนางได้ จึงรีบเดินเข้ามา กล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านหญิง งานเลี้ยงด้านหน้าเริ่มขึ้นสักพักแล้ว แต่บ่าวค้นหาทั่วสวนดอกไม้ไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่พบท่านหญิงของบ่าวเลยเจ้าค่ะ!”
หลี่รุ่ยเสียงเลิกคิ้วขึ้นรางๆ จู่ๆ ก็คล้ายกับตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้
“เป็นไปได้อย่างไร? ตอนเช้าข้ายังพบนางอยู่เลย!” ฉู่สวินหยางกล่าว ทั้งยังกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วย “วันที่สำคัญเช่นนี้ พี่รองก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความ จะหายตัวไปจากงานได้อย่างไร?”
“บ่าวก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ!” สุ่ยอวี้กล่าว “หาทุกหนทุกแห่งไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่พบร่องรอยของท่านหญิง เวลานี้องค์รัชทายาทและฮูหยินใหญ่ล้วนแต่รับแขกอยู่ในงานเลี้ยง บ่าวจึงไม่กล้ารบกวนเจ้าค่ะ ท่านหญิง ท่านว่าจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
มีบางคำที่สุ่ยอวี้ไม่ได้พูด ตั้งแต่เช้าตรู่นางก็ถูกฉู่เยว่ซินสั่งการออกไป ให้ช่วยชิ่งเฟยเล่นละครฉากหนึ่ง
ผลลัพธ์คือละครฉากนั้นทำให้ชิ่งเฟยติดร่างแหเข้าไปด้วย จึงร่วมกันเล่นละครฉากใหญ่อย่างแปลกประหลาด แต่เมื่อหลังจากนางกลับไปเรือนจิ่นเซ่อเพื่อจะรายงานให้ฉู่เยว่ซินฟังกลับไม่พบคนเสียแล้ว
ในเวลาหนึ่งชั่วยาม[2] นี้ นางก็ล้วนแทบเข้าไปหาดูทุกเรือนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบร่องรอยของคน จากนั้นก็มิอาจสงบใจลงได้แล้ว
ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก มีท่าทีกังวลแฝงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
——————————————————–
[1] เวลาครึ่งก้านธูป เวลาราวสิบห้าหรือสามสิบนาที
[2] เวลาหนึ่งชั่วยาม ประมาณสองชั่วโมง