สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 48.5 พระชายานั้นห้าวหาญ ฝ่าบาทรู้หรือไม่? (5)
หลี่รุ่ยเสียงไม่อาจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไปแล้ว จึงหันไปกล่าวกับขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านข้าง “ไปบอกกล่าวกับพ่อบ้านเจิงหน่อยเถิด ให้เขาได้ช่วยหาดู”
“เจิงจีน่าจะอยู่ช่วยในงานเลี้ยงด้านนั้นกระมัง?” ฉู่สวินหยางครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวถามกับชิงเถิง
“เจ้าค่ะ!” ชิงเถิงตอบ เข้าใจได้อย่างทันที “อย่างไรก็ให้บ่าวไปดีกว่าเจ้าค่ะ จะได้ไม่เป็นที่ตกใจของฝ่าบาทและแขกคนอื่นๆ จะทำให้ทุกคนเป็นกังวลได้”
ที่นี่อย่างไรก็เป็นวังบูรพา หลี่รุ่ยเสียงจึงมิอาจพูดอะไรได้มาก
อีกทั้งที่เขาออกมาจากงานเลี้ยงก็เพราะพบว่างานเลี้ยงเริ่มแล้ว แต่กลับไร้ร่องรอยของชิ่งเฟย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีสัญญาณแปลกๆ อันใด แต่เขาก็ไม่อาจประมาทได้…
ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับชิ่งเฟย
ดังนั้นยิ่งเคลื่อนไหวให้เงียบได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
มองตามหลังชิงเถิงจากไป สุ่ยอวี้ก็ยังคงร้อนใจจนน้ำตารินไหลออกมา ฉู่สวินหยางหันไปมองทางหลี่รุ่ยเสียงอีกครั้ง “นิสัยของพี่รองนั้นสุขุมเยือกเย็น หากมีเรื่องอันใด ก็มิอาจถึงกับปิดเงียบขนาดนี้ได้หรอก ข้าจะไปดูนางตรงนั้นสักหน่อย ท่านหัวหน้าขันที ท่านก็รีบกลับไปอยู่ข้างกายฝ่าบาทก่อนเสียเถิด!”
หลี่รุ่ยเสียงยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเงียบเชียบพลางกล่าว “ความปลอดภัยของท่านหญิงรองย่อมสำคัญกว่า ให้บ่าวไปกับท่านหญิงด้วยเถิด!”
ฉู่สวินหยางอยากจะปฏิเสธ ทว่าเขากลับส่งยาสร่างเมาในมือให้กับขันทีผู้น้อยข้างกายไปแล้ว “เจ้านำไปให้ฝ่าบาทก่อนเถิด ประเดี๋ยวอีกสักพักพวกเราจะตามไป!”
“ขอรับ ท่านหัวหน้าขันที!” ผู้รับใช้คนนั้นรับคำสั่งก็ยกกล่องยานั้นออกไปก่อน
ฉู่สวินหยางเผยสีหน้าลำบากใจมองดูเขา หลี่ลุ่ยเสียงกลับยังคงท่าทีสบายๆ ไว้ กล่าวด้วยสีหน้าเดิมเช่นเคย
“เชิญท่านหญิงเถิดขอรับ!”
ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มออกมาอย่างจนใจ ยกฝีเท้าก้าวเดินไปด้านหน้า
สุ่ยอวี้รีบก้าวเดินตามขึ้นไป “ตั้งแต่เช้าท่านหญิงและบ่าวออกมาด้วยกัน หลังจากนั้นบ่าวก็กลับไปค้นหาครั้งหนึ่ง แต่นางไม่ได้กลับมาเจ้าค่ะ!”
“ไม่แน่ว่าเวลานี้ก็อาจจะกลับไปแล้ว มิเช่นนั้นพี่รองจะไปที่ไหนได้อีก?” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างใจลอย ยังคงก้าวเท้าไปต่ออย่างรวดเร็ว
หลี่รุ่ยเสียงเงยหน้าเหลือบมองแผ่นหลังนางเป็นครั้งคราว แววตาที่ราบเรียบไร้คลื่นอย่างทุกครั้งนั้น กลับแฝงด้วยความซับซ้อนอยู่บ้าง
ฉู่สวินหยางใช้หางตาเหลือบมองปฏิกิริยาของเขา กลับไม่ได้สนใจอะไรนัก…
นางไม่กลัวว่าหลี่รุ่ยเสียงจะสามารถคาดเดาอะไรได้ เพียงแค่ไม่ให้เขาจับได้อย่างตรงๆ แม้ว่าจะไปอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ คนผู้นี้ก็มิอาจพูดเหลวไหลอะไรได้
แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องครั้งนี้ยังเป็นพวกเขาที่ประเมินฮ่องเต้ต่ำไป ทั้งยังประมาทการเคลื่อนไหวของหลัวอวี่ก่วนด้านนั้น ไม่คาดคิดว่าก่อนว่าฮ่องเต้จะล่วงรู้เรื่องที่หลัวอวี่ก่วนตั้งท้องอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งยังตัดสินใจในทันที ใช้ชิ่งเฟยมาวางแผนเพื่อจะกำจัดซูอี้ออกไป
แม้ว่าซูอี้จะคลี่คลายปัญหาทางเป่ยเจียงให้เขา ท้ายที่สุด…
เขาก็ยังคงไม่อาจหลงเหลือซูอี้ที่เป็น ‘คนสกุลซู’ เอาไว้ได้
เพียงแค่วางแผนผูกหลัวอวี่ก่วนไว้กับซูอี้ คล้อยหลังเมื่อเรื่องราวของหลัวอวี่ก่วนและซูหลินถูกเปิดเผยออกมา เวลานั้นซูอี้ก็จะไม่อาจแก้ตัวได้ ถูกมัดลงกับเรือกบฏลำนั้นของสกุลซูอย่างทันที
ฮ่องเต้อยากที่จะกำจัดเขา นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่ว่าชิ่งเฟยที่ทำการล้มเหลว ก็เป็นการตัดโอกาสทั้งหมดไปเสียสิ้น
หากไม่สามารถส่งหลัวอวี่ก่วนไปกับซูอี้ได้ เช่นนั้นแม้ว่าข่าวที่นางตั้งท้องสายเลือดของสกุลซูรั่วออกมา ที่ตายนั้น…
ก็จะมีเพียงแต่สกุลหลัวเท่านั้น
อีกทั้งหลัวฮองเฮาเพิ่งจะจากไปไม่นาน หากเวลานี้จะลงมือกับสกุลบ้านของนาง ข่าวลือด้านนอกก็คงจะฟังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมืออย่างฉับพลัน ฉู่อี้อันให้คนไปรายงาน ฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหวรีบตามมากดเรื่องนี้ไว้อย่างทันที พายเรือตามน้ำจัดการทำให้เป็นเรื่องรักใคร่ชู้สาวของฉู่อี้ชิงแทน
จะว่าไปแล้ว ฉู่อี้ชิงก็นับว่าได้เสียรู้แทนพ่อตัวเองไปครั้งหนึ่งเช่นกัน
แล้วด้านของชิ่งเฟยล่ะ?
นางมีควากล้ามาวางแผนชั่วถึงวังบูรพา แม้ว่าจะตายก็มิผิดแต่อย่างใด
คนกลุ่มนี้รีบเร่งเดินไปยังทิศทางของเรือนจิ่นเซ่อ ผ่านสวนดอกไม้ไปอีกแห่งก็เป็นประตูใหญ่ของเรือนจิ่นเซ่อ ทางเล็กๆฝั่งตรงข้ามนั้นกลับปรากฏร่างของฉู่เยว่ซินเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
นางเดินช้าเป็นอย่างมาก ระหว่างที่เดินนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าหลุบตามองต่ำ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ท่านหญิง!” สุ่ยอวี้เห็นนางอยู่ไกลๆ ชั่วขณะนั้นก็ดีใจจนน้ำตาไหล ยกกระโปรงขึ้นรีบวิ่งเข้าไปหา “ท่านไปอยู่ที่ไหนมาเจ้าคะ? ให้บ่าวหาเสียนาน!”
“ข้า…” ฉู่เยว่ซินอยากจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นฉู่สวินหยางและหลี่รุ่ยเสียงที่กำลังเดินเข้ามา จู่ๆ คำพูดก็ชะงักไป
สีหน้าของนางดูไม่ดีเป็นอย่างมาก ภายใต้ความอ่อนแอนั้นยังแฝงด้วยความซีดขาวอยู่รางๆ
“พี่รองไปอยู่ที่ใดมา? สุ่ยอวี้หาท่านไม่พบ ร้อนใจจนร้องไห้ออกมาครั้หนึ่งแล้ว!” ฉู่สวินหยางกล่าว เผยสีหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มส่งให้นาง
ฉู่เยว่ซินมองเห็นเงาในนัยน์ตาที่พร่างพราวของนาง แววตาก็สั่นไหว แฝงไปด้วยท่าทีซับซ้อนอย่างแปลกประหลาด ตะลึงอยู่สักพักจึงพยายามเม้มริมฝีปาก ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ข้ามาเดินเล่นในสวนดอกไม้จนลืมเวลา ตอนนี้…”
ขณะที่นางพูด ก็แสร้งทำเป็นสงบสติอารมณ์มองไปยังงานเลี้ยง “งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้วหรอกหรือ?”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาทก็เสด็จมา เวลานี้ท่านพ่อและท่านลุงท่านอาทุกพระองค์ล้วนอยู่ร่วมกันหมดแล้ว!” ฉู่สวินหยางกล่าว เผยยิ้มเล็กน้อย “พวกเราก็ไปที่นั่นเถิด!”
ฉู่เยว่ซินอยากจะตอบรับ แต่ว่านิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้นกลับสั่นขึ้นมาอย่างรางๆ ลังเลไปชั่วครู่ ท้ายที่สุดกลับกล่าวเสียงต่ำ “ตอนที่เพิ่งจะเดินผ่านสวนดอกไม้…กระโปรงของข้าเปื้อนน้ำ ข้า…ต้องกลับไปเปลี่ยนเสียหน่อย!”
“เช่นนั้นข้าจะรอท่านที่นี่!” ฉู่สวินหยางกล่าว
ฉู่เยว่ซินมองเห็นรอยยิ้มยินดีบนใบหน้าของนาง ก็รู้สึกขมขื่น ทั้งยังสั่นสะท้านอยู่ในใจ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มออกมา
“มาจนถึงประตูใหญ่แล้ว เจ้าก็เข้าไปกับข้าเสียสิ”
ขณะที่พูดก็มองไปทางหลี่รุ่ยเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ลำบากท่านหัวหน้าขันทีเสียแล้ว อย่างไรก็เข้าไปดื่มชาก่อนแล้วค่อยไปเถิด!”
แววตาของหลี่รุ่ยเสียงนั้นกวาดมองบนร่างของสองพี่น้องไปที กลับรู้ได้อย่างทันที…
ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่เหลือเส้นทางให้เขาวกกลับอีกแล้ว
ฉู่เยว่ซินหมุนกายพาทั้งสองคนเดินไปยังทางเรือนจิ่นเซ่อ
หลานซีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมา ขณะนั้นก็ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง โกยแนบเข้าไปในเรือนอย่างทันที
สุ่ยอวี้ตาดีมองเห็นก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาโดยพลัน “มีขโมย!”
พูดยังไม่ทันจบ หลี่รุ่ยเสียงก็สั่งด้วยสายตากับขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านข้าง ทว่าปฏิกิริยาของชิงเถิงกลับเร็วกว่าเขามาก ยกกระโปรงวิ่งตามเข้าไปติดๆ แล้ว
หลานซีถลาเข้าไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน จึงค่อยไปถึงหน้าประตู ด้านหลังชิงเถิงก็ตามมาถึงแล้ว นางจับไหล่หลานซีไว้ก่อนจะเหวี่ยงออกไป จากนั้นก็ใช้เท้าเตะเปิดประตูห้องออก
ด้านหลังมีหลี่รุ่ยเสียงวิ่งตามมาเป็นคนที่สอง อยากจะห้ามไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว
บนเตียงปรากฏร่างคนสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ การกระทำนั้นได้ชะงักลงอย่างกะทันหัน หลัวเสียงหวนสติกลับคืนไม่ทันไปชั่วครู่ ทั้งยังไม่ทันถอนกายออกไป เพียงแต่หันมองไปทางด้านนั้นอย่างไม่รู้ตัว
—————————————————