สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 49.3 จิตใจอันน่ากลัวของฮ่องเต้และการตายของชิ่งเฟย (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 49.3 จิตใจอันน่ากลัวของฮ่องเต้และการตายของชิ่งเฟย (3)
ในขณะเดียวกันนั้นเองหลานซีก็ถูกปลุกด้วยน้ำชาเย็นจัดที่หลี่รุ่ยเสียงราดใส่ ชิ่งเฟยตัวสั่นหงึกไปด้วยความกลัว ในขณะที่หลานซีกำลังจะเข้าไปพยุงให้นางลุกขึ้น จู่ๆ นางก็ผลักหลานซีออกไป แล้วพุ่งเข้าไปกอดเสาประตูด้านข้างเอาไว้แล้วตะโกนร้องเสียงดัง “ข้าไม่ไป! ไม่! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
หากตามฮ่องเต้กลับไป นั่นก็หมายความว่าเหลือแต่ความตายอย่างเดียวเท่านั้น
ทว่าหลัวเสียงกลับเข้าใจดีว่าทำไมฮ่องเต้ต้องให้หลี่รุ่ยเสียงอยู่ต่อด้วย ตอนนั้นเองเขาก็สลัดความกลัวนั้นทิ้งไป รีบก้มหัวคำนับให้แผ่นหลังที่จากออกไปแล้วพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทได้โปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ทำผิด กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ!”
การกระทำของสองคนนั้นมันช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน ฮ่องเต้จึงหยุดฝีเท้าลง
ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นอย่างเย็นชาเลิกคิ้วมองหลัวเสียงแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “หืม? คุณชายสามก็ถูกใส่ร้ายเช่นเดียวกันงั้นหรือเจ้าคะ? แล้วใครเป็นคนใส่ร้ายท่านล่ะ? คงไม่ใช่พี่รองของข้าหรอกใช่ไหม?”
“ข้า…” หลัวเสียงอ้าปาก ภายในใจมีความคิดหลากหลายสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
สำหรับเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือมีคนอ้างชื่อชิ่งเฟยนัดให้เขามาพบ แต่เรื่องหลังจากนั้นเขาจำไม่ได้แม้แต่น้อย
ความคิดของเขาสับสนวุ่นวาย เขาเองก็ไม่สนใจที่จะปิดบังมันอีกต่อไป เขาตะโกนใส่แผ่นหลังของฮ่องเต้เสียงดังว่า “กระหม่อมต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้มีคนเอากระดาษมาให้กระหม่อม บอกว่าชิ่งเฟยต้องการนัดเจอกับกระหม่อมที่นี่ แล้วยังบอกอีกว่า…บอกอีกว่านางรู้ว่าคนที่ลอบทำร้ายน้องสามกระหม่อมคือใคร กระหม่อมเลย…”
เสียงของหลัวเสียงพูดขาดๆ หายๆ แต่ก็ยังพยายามพูดออกมาชัดเจนครบถ้วน จนแทบไม่ได้สังเกตเห็นแววตาอาฆาตของฮ่องเต้ที่ปรายตามองมาเลยแม้สักนิด
ตอนที่เขาพูดถึงหลัวอวี่ก่วน ฉู่สวินหยางเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างงุนงง
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับแม่นางหลัวอวี่ก่วนด้วย?”
“ข้า…” หลัวเสียงเองก็ไม่คิดจะสนใจชิ่งเฟยอะไรนั่นแล้ว เขาคิดแต่ว่าอยากจะลดหย่อนผ่อนโทษให้ตัวเอง จึงรีบพูดขึ้นร้อนรนว่า “ชิ่งเฟยบอกว่าเรื่องที่น้องสาวของข้ากับองค์ชายสี่เรื่องนั้นเป็นแผนของคนอื่น ชิ่งเฟยนัดข้ามาก็เพื่อจะเล่าความจริงให้ข้าฟัง…”
เขากำลังบอกฮ่องเต้เป็นนัย
ชิ่งเฟยตกใจจึงแผดเสียงพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าพูดซี้ซั้วอะไรกัน ข้าไม่สนิทกับหลัวอวี่ก่วนสักหน่อย ข้าจะไปรู้เรื่องไร้ยางอายของนางเมื่อไรกัน!”
หลัวเสียงเห็นว่าอีกฝ่ายทรยศหักหลังอย่างไร้เยื่อใยเยี่ยงนี้ เขาก็ยิ่งโมโห เลยตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เขาหันหน้าไปพูดกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “กระดาษแผ่นนั้นที่ชิ่งเฟยให้ข้ามาอยู่ที่ท่านใช่หรือไม่? ท่านเอาให้ฝ่าบาทดูเรื่องมันก็กระจ่างแน่นอน!”
ฮ่องเต้ยืนหันหลังให้ห้องนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะได้ยินคำพูดอะไรเขาก็ไม่หันหน้ากลับมาสักครั้ง
หลี่รุ่ยเสียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วยื่นให้ฮ่องเต้ดูต่อหน้าผู้คนอย่างอดไม่ได้
ฮ่องเต้ปรายตามองหนึ่งครั้ง
เขามองแค่ปราดเดียวก็แยกแยะลายมือของชิ่งเฟยออกในทันที
หากเมื่อครู่ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงชิ่งเฟยบอกว่าตนถูกใส่ร้าย ดังนั้นตอนนี้ความสงสัยที่มีก็ลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
“กลับวัง!” เขาขยำกระดาษแผ่นนั้นเป็นก้อนแล้วมุ่งหน้าเดินไปที่ประตู
“ฝ่าบาท…” ชิ่งเฟยที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องคร่ำครวญออกมา ออกแรงกอดเสาที่ประตูเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
หลัวเสียงเหงื่อแตกท่วมตัว เขาลุกขึ้นมาแล้วตามไปคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ พลางพูดขึ้นอย่างหวาดกลัวอีกว่า “กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น วันนี้กระหม่อมแค่ต้องการจะมางานเลี้ยงฉลองที่วังบูรพาเท่านั้น แต่มันกลับเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ฝ่าบาท เรื่องนี้มันต้องมีลับลมคมในแน่นอน ถึงแม้ฝ่าบาทจะให้โทษว่ากระหม่อมลามปาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้กระหม่อมตายตาหลับพ่ะย่ะค่ะ!”
เริ่มจากหลัวอวี่ก่วนแล้วตามด้วยเขา ตอนนี้ถึงเขาจะบอกว่ามีเรื่องลับลมคมในอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเชื่อ
ฮ่องเต้ใช้สายตาอันมืดมนจ้องเขาเขม็ง
มันช่างน่าบังเอิญที่จู่ๆ เวลานี้เจิงจีก็วิ่งผ่านไป แต่เมื่อเขาเห็นฮ่องเต้และฉู่อี้อันอยู่ที่นี่ เขาก็ตกใจจนหยุดชะงัก จากนั้นค่อยหันเท้าเปลี่ยนทิศทางแล้วเดินเข้ามา เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าร้อนรน “ฝ่าบาท องค์รัชทายาท ที่แท้พวกท่านก็อยู่ที่นี่นี่เอง! เมื่อครู่ท่านหมอเจิ้งบอกว่าเพราะแม่นางหลัวอวี่ก่วนเสียเลือดมากจากการคลอด เลยทำให้เสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสี่กับพระชายาเองก็ทะเลาะกันอีกแล้ว ฝ่าบาททรงคิดว่า…”
เจิงจีพูดพลางก็มองไปยังฮ่องเต้ด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทว่าหลัวเสียงกลับมึนงงไปชั่วขณะ เขาพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“เจ้าบอกว่าอะไรนะ? น้องสาวข้านาง…”
ฉู่สวินหยางได้ยินดังนั้นก็เบนสายตาหนีออกอย่างเย็นชา…
ฉู่อี้ชิงไม่มีทางยอมรับการกล่าวหาอันนั้นอยู่แล้ว ช้าเร็วอย่างไรเขาก็ต้องโวยวายขึ้นมาอยู่ดี ฮ่องเต้สั่งให้เขานำตัวคนกลับไป แต่แท้จริงแล้วเขาจะวางใจได้เยี่ยงไรเล่า?
เพราะฉะนั้น…
ขอเพียงหลัวอวี่ก่วนตาย เรื่องนี้ถึงจะจบลงอย่างสมบูรณ์
แล้วเมื่อฉู่เยว่ซินได้ยินเรื่องนี้เข้า ใบหน้าของนางนิ่งค้างแข็งทื่อ
สามคนคนที่ร่วมวางแผนจัดการซูอี้ในวันนี้ หลัวอวี่ก่วนตาย ชิ่งเฟยเองก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียว ส่วนนาง…
เป็นคนที่สามที่ร่วมวางแผนด้วย!
เมื่อคิดเยี่ยงนั้นแล้ว นางก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตัวเองอยู่ท่ามกลางหิมะน้ำแข็ง หนาวสั่นระริกไปทั้งตัว
เจิงจีถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าตรงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เลยหันไปพูดกับหลัวเสียงอย่างเศร้าโศก “คุณชายสามทำใจเถิดขอรับ หลัวซื่อจื่อเขาไปหาแม่นางหลัวอวี่ก่วนแล้ว ส่วนท่าน…”
หลัวเสียงเองก็อยากถือโอกาสนี้เอาตัวรอด แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้
แต่ตอนนี้พอหลัวอวี่ก่วนตายไป เขาเองก็มีความมั่นใจมากขึ้น จึงกัดฟันแล้วหันมองฮ่องเต้พลางพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องของน้องสาวข้ามันช่างแปลกนัก…”
“หุบปากซะ!” ฮ่องเต้ตะโกนอย่างโกรธกริ้ว
ครั้งนี้เขาตะโกนจนแทบเรียกได้ว่าจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว ฮ่องเต้เตะเขาให้หลบไป กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “หลี่รุ่ยเสียง วันหลังอย่าเอาเรื่องไร้สาระแบบนี้มาทำให้ข้ารำคาญใจอีก!”
พูดจบเขาก็เดินจากออกไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหยุดรอฟังอะไรอีก
ตอนที่เขาเตะหลัวเสียงออกไปนั้น เขาออกแรงเต็มกำลัง แถมยังเตะถูกหน้าอกของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังอีก จนทำให้หลัวเสียงสลบไป
“ฝ่าบาทเพคะ!” ชิ่งเฟยเห็นเขาสะบัดแขนเสื้อเดินจากออกไป ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความผิดหวังถึงขั้นสูงสุด นางรีบตามออกไป “ฝ่าบาทจะทำอย่างนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ หม่อมฉันจะเชื่อฟังฝ่าบาททุกอย่าง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ หลี่รุ่ยเสียงก็รีบเดินเข้าไปรั้งมือของนางที่กำลังจะเอื้อมแตะเขาไว้
สัญชาตญาณของชิ่งเฟยสั่งให้ขัดขืน
หลี่รุ่ยเสียงเองก็เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่แรก เขาเดินไปพูดเสียงสูงใส่ขันทีว่า “เสี่ยวอู๋จื่อ เจ้ายังไม่รีบเข้ามาพาตัวพระชายาไปอีก?”
เสียงของเขาสูงมาก เขาออกแรงบีบข้อมือของนางเอาไว้ จนทำให้นางสติหลุด พูดไปได้แค่ครึ่งประโยคก็สะอึกจนคำพูดที่เหลือค้างอยู่ในลำคอ
ขันทีนามเสี่ยวอู๋จื่อก็เลยรีบเข้ามา พวกเขาสองคนพยุงชิ่งเฟยเอาไว้ซ้ายขวากันคนละข้าง เสี่ยวอู๋จื่อเองก็เฉลียวฉลาด เขาฉีกชายเสื้อออกมาแล้วยัดเข้าปากชิ่งเฟยเอาไว้
หลี่รุ่ยเสียงเองไม่มีท่าทรตกใจทั้งยังไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เวลานี้เขายังคงพูดขอโทษกับฉู่อี้อันอย่างใจเย็น “พระชายาชิ่งเฟยไม่ค่อยสบายเท่าไร ข้าน้อยขอตัวพานางกลับวังก่อนนะขอรับ!”
เมื่อพูดจบเขากับเสี่ยวอู๋จื่อก็พยายามหิ้วปีกชิ่งเฟยที่พยายามขัดขืนต่อต้าน คนหนึ่งด้านซ้ายอีกคนด้านขวาเดินจากออกไป
————————————————-