สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 5.1 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (1)
ฉู่หลิงอวิ้นรีบเดินลงมาทันเวลาตอนที่เหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางเดินผ่านประตูโรงน้ำชาไปพอดี
ฉู่สวินหยางรู้สึกแปลกๆ เดิมทีนางก็โดนเขาจูงมือเดินนำเหมือนคนเป็นคู่สามีภรรยากันอยู่แล้ว
ฝีเท้าของทั้งสองคนไม่เร็วมาก เดินไปดูร้านรวงรอบข้างไปด้วย
ฉู่หลิงอวิ้นเดินออกมาจากประตูบานนั้น
เมื่อกี้นางเดินไวเกินไป เลยไม่ทันสังเกตเห็นมือของทั้งสองคน เห็นเพียงแค่ไหล่ของสองคนชนกันราวกับแนบชิดอิงกายจนรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษ
นางสบถเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินตามไป
“ใต้เท้าเหยียนหลิง!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แสงไฟที่ส่องลงมายิ่งเสริมให้ใบหน้าของนางสละสลวยขึ้นไปอีก ราวกับดอกโบตั๋นอันสง่างาม “เมื่อวานเพิ่งได้พบท่านในวัง บังเอิญจังเลยที่ได้พบกันที่นี่อีก เราช่างมีพรหมลิขิตต่อกันจังเลยนะ!”
ฉู่สวินหยางกับเขาถูกรั้งไม่ให้เดินหน้าต่อ ทั้งสองคนจึงหยุดฝีเท้าลง
ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับนางที่นี่ แต่สีหน้าของเขายังคงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มออกมาอย่างไม่ผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว
รอยยิ้มของเขาแสดงออกมาอย่างเป็นมิตร
ฉู่หลิงอวิ้นเองก็คิดว่าอยู่บนสถานที่อย่างถนนมากด้วยผู้คนแบบนี้ย่อมต้องรักษาภาพพจน์เช่นกัน ต้องแสร้งทำเป็นดีเข้าไว้ แล้วถึงเวลาค่อยพูดอะไรออกไป ให้ฉู่สวินหยางเอากลับไปคิดเป็นตุเป็นตะต่อเองก็คงไม่เลว
หลังจากนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหยียนหลิงจวินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ใช่ว่าการบังเอิญเจอทุกครั้งจะนับว่าเป็นพรหมลิขิตเสมอไปหรอกนะขอรับ มีคำหนึ่งที่เรียกว่า ‘ใต้หล้านี้มันแคบ’ ด้วยนะ อุตส่าห์ได้มีวันที่มีโอกาสแบบนี้ทั้งที ทำข้าเสียบรรยากาศหมดเลย!”
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มแย้ม แต่ในใจกำลังคิดแผนการอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อนางได้ยินคำพูดนั้นเข้า ก็ผงะตกใจทันใดอย่างไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มนั้นชะงักค้างอยู่บนใบหน้า ไม่นานหลังจากนั้นหน้าของนางก็มืดคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด
อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันนั้นหัวเราะขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างามเหลือล้น
ฉู่สวินหยางหันไปมองเหยียนหลิงจวิน นางรู้สึกว่าเขาทำตัวต่างจากที่คิดไว้มากโข…
สองคนนี้โกรธแค้นเคืองกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ถึงขนาดพูดตอกหน้ากันกลางถนนแบบนี้เลยเนี่ยนะ?
เดิมทีนางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ครั้งนี้อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดเพราะความสงสัยนั้นขึ้นมา…
ทั้งสองคนนี้เคยเจอกันในวังมาก่อนงั้นหรือ? ดูท่ามันต้องมีเรื่องที่นางคาดไม่ถึงเกิดขึ้นแน่นอน!
ในระหว่างที่นางกำลังนึกคิดจนเหม่อลอยไปนั้น ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านในโรงน้ำชาก็เร่งฝีเท้าเดินตามออกมา
“สวินหยาง ใต้เท้าเหยียนหลิง!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยทักทาย พลางก้มศีรษะทำความเคารพเล็กน้อย “บังเอิญจริงเชียวที่ได้มาเจอกันที่นี่ พวกท่านมา…”
เขาไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉู่หลิงอวิ้นและเหยียนหลิงจวิน แต่เขาเห็นเพียงสีหน้าของฉู่หลิงอวิ้น เขาก็รู้แล้วว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน
ในระหว่างที่เขาพูด สายตาของเขาก็มองไปยังส่วนที่โผล่มาจากแขนเสื้อที่ทับซ้อนกันอย่างผิดปกตินั้น…
นี่ขนาดถูกคนอื่นเห็นต่อหน้าเยี่ยงนี้แล้ว สองคนนั้นยังไม่คิดจะหลบอีกงั้นรึ?
เขาขมวดคิ้วขึ้น สุดท้ายก็บังคับตัวเองให้เบนสายตาหนีไปทางอื่น รู้สึกหงุดหงิดขึ้นอยู่ในใจ
เขาซ่อนสีหน้าโดยเร็ว แต่ถึงเร็วอย่างไรก็หลบไม่พ้นสายตาฉู่สวินหยางที่ทำเป็นไม่สนใจคนนั้นไม่ได้อยู่ดี เหยียนหลิงจวินก็สังเกตเห็นความแตกต่างบนสีหน้าของเขาได้เช่นกัน แววตาส่องประกายเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อต่ออีกสักหน่อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าซื่อจื่อก็อยู่ที่นี่” เหยียนหลิงจวินกล่าว “ข้ากับคุณชายรองซูผ่านมาแถวนี้พอดีน่ะ จึงบังเอิญเจอเข้ากับท่านหญิงสวินหยาง เลยมาเดินเล่นกันหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่คึกคักดีนะขอรับ”
เดินตามกันเป็นขบวนแบบนี้ ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
ซูอี้กับคนอื่นที่แยกกันเดินไปก่อนแล้วข้างหน้า เจอเข้ากับสองพี่น้องฉู่ฉีเหยียนเข้าก็ยากที่จะหลบหน้าได้ เลยหันกลับมากล่าวทักทาย “ซื่อจื่อ ท่านหญิงอันเล่อ!”
ตั้งแต่เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเมื่อสิ้นปีที่นอกประตูวังครั้งนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนหลิงจวินกับซูอี้ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
“คุณชายรองซู ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนยกสองมือคำนับ ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนผู้นี้ ดูจากภายนอกแล้วทั้งอบอุ่นและเป็นมิตร แต่ก็เพราะอบอุ่นและเป็นมิตรมากเกินไป เลยทำให้คนยิ่งไม่กล้าละเลยความดุร้ายของเขาภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าที่ยากจะสังเกตเห็นได้
มองเพียงปราดเดียว ฉู่ฉีเหยียนก็ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ…
คนคนนี้ต่อกรได้ยาก ซูหลินไม่มีทางทัดเทียมได้แน่นอน
แต่ละฝ่ายกล่าวทักทายขึ้นอย่างเป็นทางการ ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นที่บิดเบี้ยวนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงกลับมาเป็นปกติ
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้คิดจะหาเรื่องใคร เลยพูดว่า “ท่านพี่จะกลับแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? งั้นเดี๋ยวข้าไปส่ง!”
เขารู้จักนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นดีที่สุดแล้ว หากอยู่ต่อนานกว่านี้ล่ะก็ ไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตามมาบ้าง
“วันมงคลที่เหมาะแก่การฉลองแบบนี้ ข้าเองก็อุตส่าห์มีโอกาสได้ออกมาทั้งที” ฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอม ดวงตาสวยงามคู่นั้นกลอกตาไปมา ปรายตามองไปยังภาพถนนตรงหน้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อได้เจอกันแล้ว เราสู้เดินเล่นด้วยกันต่อเลยดีกว่า ข้าเองก็ไม่ได้มีโอกาสนั่งคุยกับน้องสาวทั้งหลายตัวเองแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน”
เมื่อฉู่เยว่ซินกล่าวทักทายสองคนนั้นพอเป็นพิธีเสร็จ นางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาคำใดตลอดเวลา
ส่วนใบหน้าของฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์ ถึงแม้นางทั้งสองจะพยายามยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าฝืนยิ้มอยู่
ฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนหยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร นางดูถูกทุกคน ไม่ยอมสนิทกับผู้ใด แต่ตอนนี้กลับคิดที่จะลดตนเสมอพวกเขา…
ภายในใจของทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าพวกเขาไม่เอ่ยคำใดขึ้น จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึกคิดอะไรอยู่ เลยหันไปมองเหยียนหลิงจวินแล้วถามว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง คงไม่คิดว่าการที่ข้าอยู่ด้วย มันจะไม่สะดวกหรอกใช่ไหมเจ้าคะ?”
ถึงแม้นางจะพูดกับใต้เท้าเหยียนหลิง แต่ระหว่างที่พูดอยู่นั้นหางตากลับเหล่มองไปที่ฉู่สวินหยาง…
ขนาดอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่านแบบนี้ นางยังจับมือผู้ชายไม่ปล่อย ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย มิน่าเล่าเหยียนหลิงจวินถึงได้มองไปที่นางอย่างน่าสนใจเยี่ยงนั้น ความหนาของใบหน้าที่ไร้ยางอายของนาง มันช่างหนาเสียจนคนอื่นไม่อาจเทียบได้เลย
ก็เป็นแค่…
คนไร้ยางอายคนหนึ่งแค่นั้นแหละ!
ภายในใจของฉู่หลิงอวิ้นเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง ขณะนั้นเองก็แสดงสีหน้าดูถูกเยาะเย้ยออกมาอย่างเปิดเผย นางตัดสินไปแล้วว่าฉู่สวินหยางใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยาหลอกล่อเหยียนหลิงจวินให้ลุ่มหลงตัวเอง
หากเป็นเวลาปกติแล้ว ฉู่สวินหยางเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปต่อปากต่อคำกับนาง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากนางเมื่อครู่นั้นแล้ว ทำให้ตนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ฉู่สวินหยางไม่รอให้เหยียนหลิงจวินเอ่ยปากขึ้น นางเดินขึ้นหน้าไปยืนบังตัวเหยียนหลิงจวินเอาไว้ด้วยท่าทางที่ไม่เกรงกลัว ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราจะไม่สะดวกใจได้เยี่ยงไรเล่า? กลัวเสียแต่ว่าท่านพี่อันเล่อนั่นแหละที่จะไม่สะดวก!”
นางกับฉู่อี้หนิงและคนอื่นๆ ยังเป็นเด็กกันอยู่ ออกมาเที่ยวเล่นนิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร ส่วนเหยียนหลิงจวินกับซูอี้เป็นถึงชายชาตรี ทั้งยังไม่มีพันธะใดผูกพัน ปกติแล้วเวลามีงานเลี้ยงในวังหรือนัดพบปะสังสรรค์กันที่อื่น พวกเขาสองคนก็พบเจอกันทุกครั้ง แม้กระทั่งการเดินทางครั้งนี้เองก็ด้วย…
ขอเพียงแค่ไม่ทำเกินไป ก็หาได้มีอะไรให้เสียหายไม่
แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับไม่คิดเยี่ยงนั้น
ตอนนี้นางเป็นถึงภรรยาที่แต่งงานมีสามีแล้ว ทั้งจางอวิ๋นเจี่ยนยังมีสภาพเยี่ยงนั้น เดิมทีเทศกาลโคมไฟเองก็เป็นเทศกาลที่ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่นางกลับมาเดินเล่นงานวัด แล้วปล่อยผู้เป็นสามีทิ้งไว้อยู่ผู้เดียว
หากไม่มีคนพูดถึงก็ช่างมันเสียเถอะ แต่ถ้าหากถูกพลเมืองดีผู้ใดป่าวประกาศออกไปเข้า ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนได้แน่นอน
ฉู่สวินหยางพูดประโยคนั้นออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ การที่นางเดินออกมายืนบังหน้าเหยียนหลิงจวินแบบนั้น ในสายตาคนอื่นมองแล้วคงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่สำหรับฉู่หลิงอวิ้นแล้วนั้น…
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกกดดันหาเรื่องอยู่ดี
ช่วงนี้เรื่องทั้งหลายของฉู่หลิงอวิ้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก และยังโดนนางเพ่งเล็งแบบนี้อีก ใครจะไปทนไหวกัน?
นางรีบพูดอย่างไม่สนใจ “พี่น้องกันแท้ๆ เดินเล่นด้วยกันแค่นี้เอง จะไม่สะดวกได้อย่างไรเล่า!”
พูดพลางก็ปรายตามองเหยียนหลิงจวินแล้วพูดว่า “หรือใต้เท้าเหยียนหลิงไม่ต้อนรับข้า?”
นางช่างกล้าทำอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มุ่งเป้าหมายไปยังเหยียนหลิงจวินอีกครั้งแบบนี้? จากสถานภาพของนางนั้น มันช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!
ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ว่าต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น จนเผลอมองนางอย่างไม่รู้ตัว
เหยียนหลิงจวินเพียงแค่ยิ้มอย่างธรรมชาติแล้วพูดว่า “ถนนเส้นนี้หาใช่ของข้าไม่ ข้าจะไม่สะดวกได้เยี่ยงไร?”
พูดพลางก็เดินนำหน้าขึ้นไปก่อน
ปกติแล้วฉู่สวินหยางเองก็อยู่แต่ในเรือน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นด้านนอก ทหารรักษาความปลอดภัยในวังบูรพาก็ควบคุมเข้มงวดรัดกุม โอกาสที่เขาจะได้เจอนางนั้นมันช่างยากเย็นนัก เดิมทีอยากใช้โอกาสนี้อยู่กับนางสักหน่อย แต่วันนี้กลับมีคนนอกมาปะปนเสียได้ เขาเองก็ต้องคอยดูสถานการณ์ของฉู่สวินหยางเหมือนกัน ดูท่าก็น่าจะถึงเวลาห่างกันแล้วสินะ
เขาเดินเร็วมาก แต่ฉู่สวินหยางไม่ถือสา หันไปมองฉู่ฉีเหยียนแล้วพูดว่า “ไปด้วยกันไหม ซื่อจื่อ?”
ฉู่ฉีเหยียนอยากตอบรับคำเชิญนั้นไป แต่คิดอีกทีแล้วยังคงส่ายหน้าด้วยความเสียดายแล้วพูดว่า “ข้าคงไปด้วยไม่ได้หรอก พอดีต้องรีบกลับจวนไปสะสางธุระ ไว้วันหลังแล้วกัน!”
เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับการทำงานมาก บรรยากาศครึกครื้นแบบนี้ ไม่อยู่ด้วยก็ช่างเขาเถอะ
ฉู่ฉีเหยียนถามย้ำฉู่หลิงอวิ้นอีกครั้งว่า “ไม่ต้องให้ข้าไปส่งแน่นะขอรับ?”
“ไม่ต้องหรอก ไว้ข้ากลับเอง” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ ไม่แสดงท่าทีรั้งตัวเขาไว้ “เจ้ามีธุระนี่ รีบกลับไปทำก่อนเถอะ!”
เวลาทำเรื่องอะไรก็ตามฉู่ฉีเหยียนมักจะเป็นคนรอบคอบเสมอ หากมีเขาอยู่ด้วย ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกกดดัน
ฉู่ฉีเหยียนเห็นว่านางตัดสินใจแล้ว เลยไม่พูดอะไรขึ้นอีก
——————————-