สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 5.2 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (2)
เมื่อขบวนของฉู่สวินหยางและเขาต่างฝ่ายต่างพยักศีรษะทำความเคารพแก่กันเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเดินต่อไปยังเบื้องหน้า
ฉู่ฉีเหยียนยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่ท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คน ไม่ได้จากออกไปในทันที
“ซื่อจื่อ ท่านไว้ใจปล่อยให้ท่านหญิงอยู่คนเดียวแน่หรือขอรับ?” หลี่หลินเอ่ยปากถามหยั่งเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“เห็นนางแบบนั้นดูก็รู้แล้วว่าหลงระเริงมากแค่ไหน พูดโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผลหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้ากับข้ารับใช้อีกสองคนอยู่เฝ้าที่นี่แล้วกัน อย่าปล่อยให้นางก่อเรื่องอะไรเข้าก็พอ!”
แต่งงานออกเรือนไปแล้วแท้ๆ เวลานี้ฉู่หลิงอวิ้นยังทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนเคยพยายามโน้มน้าวนางแล้ว แต่พอถึงตอนนี้เขาเองก็คร้านที่จะยุ่งด้วยอีกต่อไป…
หากฉู่หลิงอวิ้นดึงดันที่จะทำแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
ในเมื่อตอนนี้ห้ามนางเอาไว้ไม่อยู่ หลังจากนี้เขาเองก็ไม่มีทางเอาเรื่องของตัวเองมาปรึกษากับนางอีกแน่นอน เรื่องบางเรื่องนางยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
หลี่หลินเข้าใจการตัดสินใจของฉู่ฉีเหยียนดี เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็รีบสั่งการลงไปทันที
เมื่อหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง เห็นคนกลุ่มนั้นค่อยๆ กลืนกินไปกับฝูงชนตรงหน้า ฉู่ฉีเหยียนจึงหันหลังแล้วเดินกลับไปอีกฝั่งถนน
เพราะการมาใหม่ของฉู่หลิงอวิ้น ทำให้ฉู่เยว่หนิงและคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนกับโดนมัดมือมัดเท้าไว้ ไม่กล้าทำตัวครื้นเครงมากเท่าไรนัก
ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงเดินก้มหน้าก้มตาไปอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเหยียนหลิงจวินกับฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนตรงหน้าเป็นพักๆ อุตส่าห์อดทนไม่พูดมาตั้งนานแต่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหว จนในที่สุดขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าท่านหญิงอันเล่อมีใจให้ใต้เท้าเหยียนหลิง นี่เวลาก็ผ่านมาขนาดนี้แล้ว นางยังไม่ถอดใจอีกงั้นรึ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนราชนิเวศน์ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แต่ผู้คนก็ไม่ได้ตาบอด ต่างเห็นได้ชัดเลยว่า
ฉู่หลิงอวิ้นมีท่าทีกับเหยียนหลิงจวินไม่เหมือนคนทั่วไป แต่ก็เป็นแค่นางที่แสดงออกอยู่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด แต่ด้วยความที่มีหลัวฮองเฮาคอยให้ท้าย เลยทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้น
ฉู่เยว่หนิงฟังจบ คิ้วก็ยิ่งขมวดเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเดิม “ใครจะไปรู้เล่า!”
ท่าทางการกระทำของฉู่หลิงอวิ้นที่มีต่อเหยียนหลิงจวินนั้นพิเศษกว่าคนอื่นก็จริง แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เหยียนหลิงจวินก็ออกหน้าปกป้องฉู่สวินหยางอยู่เสมอ ถึงแม้เรื่องพวกนี้นางจะไม่มีทางเอาไปพูดลับหลังที่ไหน แต่นางเคยได้ยินท่านแม่ของตนเคยพูดถึงอย่างนั้น…
นางไม่ใช่เด็กโง่ที่ไม่รู้ความ ฉู่เยว่หนิงเองก็รู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่ใต้เท้าเหยียนหลิงคนนี้มีให้กับพี่สาวของตนคงไม่ธรรมดาแน่นอน
เดิมทีก็เดาใจและท่าทีของท่านพ่อยากอยู่แล้ว ตอนนี้หากปล่อยให้ฉู่หลิงอวิ้นสร้างเรื่องอะไรขึ้นอีก ไม่อาจรับรองได้เลยว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น
คนในขบวนเดินไปด้านหน้าโดยที่แต่ละคนต่างก็มีเรื่องให้กลุ้มใจ เงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์เป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนุกสนานครื้นเครงเหมือนเก่า
ถนนเส้นนี้ยาวมาก เดินรวดเดียวไปถึงสุดทาง ภาพตรงหน้าช่างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตายิ่งนัก ทิวทัศน์เบื้องหน้านั้นคือแม่น้ำฮู่สุ่ยที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำจ้าวธารนั่นเอง
สถานที่แห่งนี้เองก็ได้รับอิทธิพลจากเทศกาลโคมไฟ จึงทำให้ต้นหลิวที่อยู่สองข้างทางของแม่น้ำสายนี้ ประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสีอยู่ทั่วทิศ ขนาดเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำตรงหน้าก็ยังถูกแต่งแต้มไปด้วยโคมไฟสีสันสดใส สะท้อนลงบนผืนน้ำเป็นภาพสวยงาม
มีเสียงดนตรีดังคลอให้ได้ยินเป็นบางช่วง มีเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวดังขึ้นยามค่ำคืนเป็นครั้งคราว มั่นใจได้เลยว่าต้องมีลูกค้าบนเรือชมทิวทัศน์สักลำในนั้นจ้างหญิงสาวจากถนนหลิ่วหลินมาเป็นเพื่อนนั่งคุยเล่นแน่นอน
“เจ้าเช่าลำไหนไว้?” ซูอี้เดินขึ้นไปด้านหน้า
ในตอนนั้นเองเหยียนหลิงจวินได้มาถึงก่อนแล้ว เขายืนอยู่ริมตลิ่งรับลม สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า
“ลำที่สองจากทางด้านนั้น!” เหยียนหลิงจวินตอบ เชิดคางชี้ขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะมีการปรากฏตัวของฉู่หลิงอวิ้นที่คาดไม่ถึงนั้นเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้เขาล้มแผนการเดิมที่วางไว้เด็ดขาด
“ไปกันเถอะ ไปด้วยกัน!” ซูอี้ยิ้ม หันหลังกลับไปเรียกกลุ่มคนที่กำลังเดินตามมา
เมื่อฉู่หลิงอวิ้นกำลังจะเดินผ่านไป นางตั้งใจหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเขาพูดขึ้นว่า “ดูท่าใต้เท้าเหยียนหลิงจะไม่พอใจเท่าไรเลยนะเจ้าคะ หรือว่าท่านคงไม่ยินดีให้ข้าอยู่ด้วยจริงๆ?”
เหยียนหลิงจวินคร้านจะเสียเวลากับการกระทำจอมปลอมของนาง เขาจึงเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
ฉู่หลิงอวิ้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เดินขึ้นไปบนเรือลำนั้น
“ท่านหญิงเจ้าคะ ในเมื่อท่านกับท่านหญิงสวินหยางไม่ถูกกัน แล้วทำไมท่านยังต้องลดตัวลงมากับพวกเขาให้ได้อีกด้วยล่ะเจ้าคะ?” จื่อซวี่อดไม่ได้จึงเอ่ยปากถามขึ้น
ทุกคนในที่นี้ต่างมองพวกนางเป็นศัตรู ความรู้สึกแบบนี้มันช่างไม่สบายกายสบายใจเอาเสียเลย ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าทำไมท่านหญิงของนางถึงต้องตามพวกเขามาให้ได้
การกระทำลดตัวลงแบบนี้ เมื่อก่อนนางไม่มีทางทำแน่
“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะลดตัวลงไปคลุกคลีกับพวกนั้น?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ ริมฝีปากแสยะยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา
จื่อซวี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งหวาดกลัว แล้วพูดขึ้นอย่างฝืนใจว่า “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรพูดคำนี้ออกมา แต่ด้วยท่าทางของใต้เท้าเหยียนหลิงที่ปฏิเสธท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมท่านต้องลำบากลำบนแบบนี้ด้วยล่ะเจ้าคะ?”
ฉู่หลิงอวิ้นหันขวับมองนางตาขวาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
จื่อซวี่ทำตัวคอหด ตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา รีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยพูดมากเอง! ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”
“จัดการดูแลปากของตัวเองให้ดี หากมีครั้งต่อไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า
หากนางต้องการ นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ล้มเลิกปล่อยมันทิ้งไป
เหยียนหลิงจวิน…รอก่อนเถอะ ไม่นานนัก ข้าจะทำให้เจ้าเชื่อฟังข้าแต่โดยดี!
เรือลำนั้นได้ถูกเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทั้งคนขับเรือและข้ารับใช้ที่คอยช่วยยกน้ำชาต่างก็เตรียมพร้อมอย่างครบครัน
ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงตื่นเต้นยิ่งนัก ถลกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน วิ่งตรงไปยังหัวเรือแล้วเอ่ยชมความสวยความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าก่อนใครอื่น
ฉู่หลิงอวิ้นเดินจับแขนข้ารับใช้ขึ้นไปบนหัวเรือเช่นเดียวกัน ทุกท่วงท่าการเดินของนางสง่างามไร้ที่ติ ขึ้นเรือมาก็ถามหาห้องโดยสารทันที จากนั้นก็ลงไปเติมแป้งต่อ
ฉู่เยว่ซินตามมาเป็นคนสุดท้าย ก้มหน้าก้มตายืนอยู่บนฝั่งไม่ขยับตัวไปไหน
ซูอี้หันไปมองอย่างสงสัย “ท่านหญิงรองเป็นอะไรขอรับ?”
“ข้า…” ฉู่เยว่ซินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากถนนไฉ่ถังที่พวกนางเพิ่งจากออกมาเมื่อครู่ แต่เนื่องด้วยพวกนางจากออกมาไกลแล้ว จึงได้ยินเสียงไม่ค่อยชัด
“ข้าไปดูเอง!” ซูอี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับเหยียนหลิงจวินที่อยู่บนเรือ แล้วก็ไม่ได้สนใจฉู่เยว่ซินต่อ จากนั้นเดินขึ้นฝั่งไปอย่างเร็ว อยากไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้านั้นให้ได้
———————————
บนชายฝั่งกิ่งใบของต้นหลิวย้อยห้อยลงมามากโข ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่มันก็หนาแน่นบดบังทัศนียภาพภาพตรงหน้าจนมิด ช่างยากที่จะมองทะลุเห็น
เขาเดินไปอย่างรีบร้อน ในระหว่างที่เขามุ่งไปอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเดินลัดเลาะตรอกถนนผ่านไป
ความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า คนคนนั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว เดินอย่างไร้เสียง ซูอี้ไม่ทันระวัง ทั้งสองคนจึงเดินชนกันอย่างจังจนตัวล้มทับกัน
“โอ๊ย!” เสียงของคนคนนั้นสบถดังขึ้นเสียงสั้น นอนงอตัว เส้นผมสีดำปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง
ซูอี้ตกใจ เมื่อรู้สึกตัวได้ก็รีบยกมือที่ค้ำอยู่บนหน้าอกคนคนนั้นขึ้น แล้วพยุงแขนผู้นั้นขึ้นมา พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ขอโทษนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันได้ระวัง…”
พูดยังไม่ทันจบจู่ๆ เขาก็ชะงักไป แล้วรู้สึกได้ว่า…
เขาผ่านการฝึกวิชามานี่ ทั้งความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินนั้นก็สูงกว่าคนปกติธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อครู่ตัวเขาจะเดินอย่างรีบร้อนไปเสียหน่อย มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้คนธรรมดารู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น
นั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่า…
คนคนนี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือเช่นกัน
ซูอี้ตกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนคนนั้นก็สะบัดมือที่แตะต้องแขนของตนนั้นออกอย่างว่องไว แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ดูจากแผ่นหลังนั้นแล้ว คนคนนั้นเป็นคนตัวสูงผอม แต่ภาพแผ่นหลังนั้นมันช่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงยิ่งนัก
ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ซูอี้สูดลมหายใจเข้าปอด ตัดสินใจตามไป
คนคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา จึงเหล่ตามองขวางอย่างโหดเหี้ยม แรงอาฆาตแผ่ซ่าน ส่งสัญญาณเตือนขึ้นอย่างชัดเจน
ในขณะนั้นเองซูอี้ถึงได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้นเล็กน้อย เป็นใบหน้าธรรมดาๆ โครงหน้าอ่อนโยน แต่เมื่อมองแล้วกลับทำให้คนรู้สึกเคร่งขรึมเย็นชา
ซูอี้ถูกจ้องมองเขม็ง ตกใจจนหยุดชะงักสติหลุดลอย จู่ๆ ก็รู้สึกว่านิ้วมือของตนมีอะไรเหนียวๆ ชื้นๆ ติดอยู่ จึงก้มลงมอง…
นิ้วมือทั้งสามนิ้วบนมือขวาของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเข้ม…
เลือดนี่มันเลอะจากตอนเขาไม่ทันระวังเมื่อครู่ที่กดทับอกของอีกฝ่ายมางั้นเหรอ?
ซูอี้กำลังตกใจอยู่ ส่วนฉู่สวินหยางที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุดเดินตามเข้ามาอย่างช้าๆ มองไปในทิศทางที่เขากำลังมองอยู่ แล้วพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นรึ?”
“อืม!” ซูอี้หันมอง แล้วยิ้มให้นางอย่างรีบร้อนหนึ่งที “ฝากบอกจวินอวี้ทีว่าข้ามีธุระนิดหน่อย ข้าตามไปทีหลัง”
พูดจบก็ไม่รอให้ฉู่สวินหยางตอบรับ เขาถลกชายเสื้อขึ้นแล้วรีบวิ่งตามแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่กำลังลับตาออกไป
ฉู่สวินหยางเม้มปากเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเรื่องของเขามาก จากนั้นเดินมุ่งหน้าขึ้นเรือไป
———————————-