สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 51.3 ท่านพ่อตาโกรธแล้วนะ (3)
เจิงจีตามฉู่อี้อันออกมาจากเรือนจิ่นฮว่า ไม่ได้รอให้กลับไปถึงเรือนของฉู่อี้อัน เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างวางใจไม่ลง “มีคนยื่นมือเข้ามาถึงท่านหญิงโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว เรื่องนี้ไม่ธรรมดา ต้อง…”
“ไม่จำเป็น” ฉู่อี้อันเอ่ยขึ้น สีหน้าเย็นเยียบ แม้จะไร้อารมณ์ใดบนสีหน้า ทว่าเจิงจีรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขาอย่างชัดเจน “หากมีคนในจวนของเราร่วมมือด้วย ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดสิ่งของที่ใช้ไปทำลายหลักฐาน เปลี่ยนใหม่ให้หมดก็สิ้นเรื่อง”
หากคนในจวนถูกซื้อตัวจนเข้ามาลงมือในเรือนของฉู่สวินหยาง เพียงนำรังนกที่มียาพิษและถ้วยชามภาชนะที่ใช้แล้วไปเปลี่ยนใหม่ เท่านี้แม้แต่ผีสางก็คงไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องขโมยสิ่งของที่ใช้แล้วออกไปด้วย
ที่จริงเจิงจีได้คิดถึงจุดนี้ เพียงแต่ยากจะเชื่อได้ว่าคนผู้นั้นสามารถลอบเข้ามาในวังบูรพาอย่างไร้ร่องรอย ในใจคิดแล้วก็หวาดกลัวและรู้สึกกังวลยิ่งนัก
เขาพยายามข่มกลั้นและเรียกสติคืนมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความกังวลว่า “ได้แต่หวังว่าข่าวของเจี๋ยหงจะส่งออกไปจากเมืองหลวงโดยเร็ว จะต้องไปให้ทันก่อนที่ใต้เท้าเหยียนหลิงจะไปถึงค่ายทหารที่แม่น้ำหมินให้ได้”
ฉู่สวินหยางป่วยคราวนี้ พวกเขาไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ข่าวจึงแพร่ไปทั่วเมืองหลวง ถึงเวลานั้นหากเหยียนหลิงจวินใช้ยานี้กับฉู่ฉีเฟิงเพื่อหยุดไม่ให้เขาเดินทางไปเมืองฉู่อีก ก็คงจะชัดเจนเกินไป ฮ่องเต้ทางนั้นย่อมจับสังเกตได้อย่างรวดเร็ว แล้วเรื่องวุ่นวายก็จะตามมาอีกเป็นขบวน
สิ่งที่ฉู่อี้อันกังวลก็คือจุดนี้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะใช้เจี๋ยหง
เหยียนหลิงจวินเป็นคนฉลาด ขอเพียงเจี๋ยหงเล่าสถานการณ์ให้เขารู้ตามจริง เขาย่อมรีบหยุดมือ ไม่มีทางแสดงละครอีกฉากกับฉู่ฉีเฟิงแน่
“แต่ว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือใครเอาไว้ก่อน แต่มันทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใดเล่าขอรับ?” เจิงจีคิดแล้วก็กลับมาหมกมุ่นเรื่องเก่า เอ่ยกับฉู่อี้อันว่า “จากที่เห็น มันไม่ได้คิดทำร้ายท่านหญิงจริงๆ หรือเพราะต้องการให้ท่านชายไปเมืองฉู่? แล้วท่านชาย…”
ฉู่อี้อันได้ยินแล้วสั่นสะท้านในใจครู่หนึ่ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินพลันช้าลง ทว่าเขายังคงเดินต่อไปข้างหน้า พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คงไม่ใช่ คนผู้นั้นเข้าออกที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หากคิดร้ายต่อฉีเฟิงจริงๆ มีโอกาสให้ลงมือตั้งมาก ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงล่อเขาไปถึงเมืองฉู่!”
ทว่าหากไม่ใช่เพื่อฆ่าคน เช่นนั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่ายังมีกลลวงที่แยบยลกว่าซุกซ่อนอยู่
สีหน้าของฉู่อี้อันเคร่งขรึมขึ้นอีก ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องดูแลที่นี่แล้ว รีบไปเก็บของ แล้วออกเดินทางทันทีพร้อมกับท่านเก๋อ”
“ขอรับ!” เจิงจีรีบรับคำ
ฉู่อี้อันครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมอีกว่า “คอยระวังและกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดี ไม่ว่าที่นั่นจะเกิดอะไรขึ้นต้องยึดความปลอดภัยของพวกเจ้าและฉีเฟิงเป็นสำคัญ”
อีกนัยหนึ่งก็คือ ต่อให้ตอนนั้นเมืองฉู่เกิดเรื่อง ภารกิจแรกที่ต้องทำหาใช่ปกป้องเมือง แต่เป็นปกป้องชีวิตตนเอง
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” และหยุดชะงักฝีเท้า
ฉู่อี้อันกลับไม่ยอมเสียเวลา กลับเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
———————————
แม้เหยียนหลิงจวินจะออกจากเมืองหลวงก่อนหน้าซูอี้หนึ่งวัน แต่หลังจากออกจากเมืองหลวงแล้วได้ไปรอยังสถานที่นัดเอาไว้ล่วงหน้า รอจนกระทั่งภารกิจของซูอี้แล้วเสร็จทั้งสองจึงเพิ่งมาพบกันแล้วเร่งเดินทางพร้อมกัน
ฉู่ฉีเฟิงทางนั้นก็ได้รับข่าวชัดเจน เพื่อตรึงสถานการณ์ของแนวรบแม่น้ำหมิน ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูโจมตี ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนต้องรอให้ซูอี้ไปรับช่วงก่อนถึงจะออกเดินทางได้
ดังนั้น เขาไม่จำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้าเพื่อให้ไปถึงที่นั่นก่อน
เพียงด้วยเหตุที่สถานการณ์ทางเมืองฉู่ยังคลุมเครือ เมื่อทั้งสองคนพบกันแล้วก็ไม่ได้รั้งรอเวลาอีก รีบเร่งควบม้าเดินทางต่อกันทันที
ทหารหนุนทัพกว่าพันนาย ถือเป็นคลื่นคนที่มีอำนาจเกรียงไกรยิ่ง
———————–
เข้าวันที่สี่ เส้นทางเบื้องหน้าเหลือเพียงสี่สิบลี้ก็จะถึงแนวรบแม่น้ำหมิน กลุ่มคนและม้าหยุดพักข้างทางเพื่อกินอาหารแห้ง หลังจากผ่านไปเกือบชั่วยามก็เตรียมเร่งเดินทางต่อ
ซูอี้และเหยียนหลิงจวินกำลังจะขึ้นม้า ทหารด้านหลังกลับเห็นร่างของโม่เสว่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฐานะของลั่วสุ่ยในเมืองหลวงนั้นเป็นที่เปิดเผย ทำให้การเข้าออกไม่สะดวกนัก ข้างกายซูอี้จึงมีโม่เสว่ที่ปลอมตัวติดตามมา ถือว่ายังมีคนคอยช่วยเหลือ
“มีเรื่องอันใด?” เมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้ว ซูอี้ก็รู้สึกมีท่าทีระแวดระวังทันที
“สาส์นลับจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ” โม่เสว่ตอบ เกรงว่าจะมีผู้แอบได้ยิน จึงไม่ได้กล่าวอย่างละเอียด เพียงหยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ทว่ากลับยื่นมันให้เหยียนหลิงจวินแทน
เหยียนหลิงจวินคาดไม่ถึงว่าสาส์นลับนี้จะส่งถึงตน พลันรู้สึกตื่นตัว หลังจากรับมาอ่านแล้ว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในพริบตา เขาขยำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในอุ้งมือ
ซูอี้อ่านผ่านตาไปปราดหนึ่ง พอเห็นรายละเอียดคร่าวๆ ได้แต่ถอนหายใจเฮือก แล้วมองหน้าเขาอย่างเคร่งขรึมพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเจี๋ยหงบอกเช่นนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะยาที่เจ้าเหลือทิ้งไว้ ตอนนี้ท่านหญิงคงยังไม่มีอันตราย เจ้ารีบกลับไปเถอะ!”
สีหน้าของเหยียนหลิงจวินเย็นเยียบ ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยวาจา
มันเป็นยาแกล้งป่วยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ยาที่ฉู่สวินหยางต้องการ เขาปรุงออกมาไม่ง่ายนัก เป็นยาที่เขาเร่งทำขึ้นมาให้ทันก่อนเขาจะออกเดินทาง ตอนนั้นด้วยความเร่งรีบ จึงไม่ทันได้เก็บกวาดของในห้องให้เรียบร้อย
ทว่าคิดอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนนำสิ่งของที่เขาเหลือไว้มาใช้ และ…
ยังนำมาใช้กับฉู่สวินหยาง
ยานี้มีฤทธิ์อย่างไรยังไม่พูดถึง แค่มีคนพยายามคิดแตะต้องฉู่สวินหยาง ก็ทำให้หัวใจเขาไม่เป็นสุข ร้อนรนไปหมดซูอี้เห็นว่าเขาไม่เคลื่อนไหว จึงผลักเขาเบาๆ “รออะไรอีก? รีบไปเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินจึงรู้สึกตัว ทว่ากลับหันมามองหน้าเขาครั้งหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามที่เขาถาม “เป็นฝีมือของเขาใช่หรือไม่? ใช้ท่านหญิงสวินหยางมาบีบให้ข้ากลับเมืองหลวง? เช่นนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา…ก็ชี้มาที่เจ้าเพียงคนเดียว?”
สามารถทำเรื่องเช่นนี้กับฉู่สวินหยาง เวลานี้คนผู้เดียวที่เขาสงสัยมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้น
แต่ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะดึงตัวเขากลับไป เมื่อคิดถึงความเชื่อมโยงแล้ว…
พระองค์คิดว่าการที่ตนอยู่ข้างกายซูอี้ จะเป็นอุปสรรคในการลงมือของพระองค์?
เพราะรู้ดีว่าการเดินทางลงใต้ของตนไม่อาจลอดพ้นสายตาของฮ่องเต้ เหยียนหลิงจวินจึงไม่คิดปิดบังเรื่องที่เขาร่วมเดินทางกับซูอี้
อย่างไรเขาก็เป็นเพียงฉากหน้าที่ช่วยงานฉู่สวินหยางเท่านั้น เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว
————————————-