สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 51.5 ท่านพ่อตาโกรธแล้วนะ (5)
ในเวลาไม่นาน ทหารสองนายยกเปลหามออกมา บนนั้นมีร่างของชายหนุ่มนอนอยู่พร้อมผ้าขาวปิดหน้า
ขณะที่ออกมาจากกระโจม มีลมวูบหนึ่งพัดผ่าน ทำให้ผ้าขาวนั้นเปิดขึ้น
ที่ปรากฏออกมาคือใบหน้าของชายหนุ่มค่อนข้างหล่อเหลาสวมเสื้อเกราะสีเงินบนร่าง เพียงแต่ครานี้สีหน้าของเขาเป็นสีเขียวคล้ำไร้ซึ่งสรรพเสียง นอนเหยียดตรงอยู่บนเปลหาม
“ยังไม่รีบปิดอีก” เสียงดังมาจากเจิ้งตั๋วที่ตะคอกใส่
ทหารรีบดึงผ้าขาวปิดลงมา แล้วยกออกไป นำเปลหามไปวางไว้ยังกระโจมแม่ทัพอีกหลังหนึ่งของเจิ้งตั๋ว
เจิ้งตั๋วยังไม่ได้ตามกลับในทันที เขารีบจัดการเรื่องราวโยกย้ายทหารอย่างฉุนเฉียว ด้านหนึ่งต้องปิดข่าวไม่ให้แพร่งพรายออกไป อีกด้านหนึ่งก็ตรวจค้นหาเพื่อจับกุมผู้บุกรุก
ทหารทั้งหมดชลมุนวุ่นวายไปทั้งค่าย ผู้คนเดินสวนกันไปมา ไม่มีใครเห็นว่าบนยอดกระโจมหลังใหญ่มีเงาดำหลายเงาอยู่บนนั้น
“ไม่ใช่คนของเรา” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง แล้วหันไปมองคนข้างๆ ที่เกาะอยู่บนกระโจมด้วยกันว่า “เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่?”
“ไม่ใช่” น้ำเสียงแข็งกระด้างตอบกลับมา “เจ้าหาวิธีไปดูให้แน่ใจว่าเป็นเขาหรือไม่ ยกเลิกภารกิจ ส่วนคนอื่นๆ ให้แยกย้ายไปเสีย”
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียง ตัวนางเองก็กระโดดหายไปเป็นคนแรก
หลังจากศพของซูอี้ถูกหามออกไปจากกระโจม คนที่อยู่ทางด้านนี้ได้แยกย้ายไปที่อื่นหมดแล้ว การเคลื่อนไหวของนางทั้งรวดเร็วและคล่องแคล่ว ผนวกกับลมริมแม่น้ำค่อนข้างแรง นางทิ้งตัวลงแนวตันไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนางไปแล้ว คนข้างกายอีกคนจึงเอ่ยขึ้น “แยกย้ายจริงหรือ? ไฉนจึงบังเอิญมีคนลงมือกับซูอี้พอดีเล่า?”
“ตามหญิงสาวคนนั้นไป!” คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา มันทั้งเยียบเย็นและเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“ตามนางไป?” คนข้างๆ ตกตะลึง “เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่านาง…”
“หญิงสาวผู้นั้นมักจะมีอะไรแปลกๆ เสมอ ข้าดูนางแล้วอย่างไรก็น่าสงสัย” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีก “เจ้าหก เจ้าหาวิธีไปสืบว่าผู้ที่ตายนั้นใช่ซูอี้หรือไม่ คนอื่นๆ ไปกับข้า!”
เรื่องบางเรื่อง ที่จริงแล้วไม่ต้องพูดออกมาทุกคนต่างก็รู้ดี
ถึงแม้จะมีฐานะเป็นสายลับเหมือนกัน ชีวิตที่คมดาบเปื้อนเลือดจึงถูกกำหนดให้ไร้ซึ่งอิสระ แต่การที่ชายวัยฉกรรจ์วัยกลางคนทั้งกลุ่มต้องถูกหญิงผู้นั้นเหยียบจนแทบจะจมดิน ต้องฟังคำสั่งของนาง อย่างไรก็ต้องรู้สึกต่อต้านอยู่ไม่น้อย
ความรู้สึกพยศและต่อต้านจึงอยู่ในใจของทุกๆ คน
หลายครั้งในการปฏิบัติภารกิจ พวกเขาก็คอยขัดแข้งขัดขาอยู่บ่อยครั้ง แต่จนใจว่ามือของหญิงผู้นั้นช่างเก่งกาจนัก…
ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะเอาชนะนางได้
เงาดำราวหกเจ็ดสายค่อยๆ ตามติดกันไป เคลื่อนตัวผ่านแนวยอดไม้ของป่าทางด้านริมแม่น้ำ ตอนนี้ในค่ายทหารเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก จึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา
เมื่อรอดพ้นจากสายตาของทหาร คนทั้งหมดจึงได้หยุดลง มองไปยังทางข้างหน้าไกลๆ ด้วยความเงียบขรึม
“นางไปทางนั้น เหมือนจะเข้าเมือง” มีคนพูด “นางไม่อยู่รอข่าวที่นี่ เข้าเมืองไปทำอันใด?”
“รอสักพักเถอะ ตามติดเกินไปจะทำให้นางรู้ตัวได้” คนผู้นั้นให้สัญญาณมือ สายตายังคงมองไปยังถนนเส้นนั้นจนสุดสายตา
เวลาเนิ่นนานเช่นนี้แล้ว เขาเริ่มจะทนไม่ไหวกับการควบคุมของหญิงผู้นั้น ครั้งนี้หากนางก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ผลักเรือตามน้ำกำจัดนางเสีย แต่ถ้าหากว่าไม่มี…
ก็ต้องหาเหตุผลสักข้อ อย่างไรก็เก็บนางเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
คนอื่นมองร่างของเขาที่แผ่รังสีอำมหิตออกมา ในใจทุกคนเข้าใจเฉกเช่นเดียวกัน ในเมื่อจุดประสงค์ไม่แตกต่าง เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยขัด
เมืองหมินเจียง
ด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหมินจึงได้ชื่อนี้มา ระยะทางห่างจากจุดที่กองทัพของราชสำนักตั้งค่ายอยู่ไม่ถึงสิบลี้
ท่ามกลางราตรีที่ค่อยๆ ผ่านไป โคมไฟในเมืองกว่าครึ่งได้ดับลง มีเพียงโคมไฟหน้าประตูใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ที่จุดไฟไว้ทั้งคืน ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง
เงาดำที่แบกคันธนูไว้ด้านหลังเงาหนึ่ง ลัดเลาะมาตามตรอกหลายตรอกด้วยความคุ้นเคยอย่างผู้ที่รู้เส้นทางดี ทั้งกระโดดข้ามบ้านเรือนหลายหลัง สุดท้ายหายเข้าไปในเรือนชั้นสองของจวนหลังเล็กไม่สะดุดตาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง
เรือนหลังนั้นดูไปแล้วไม่ต่างจากที่อื่น ไม่มีจุดแตกต่างมากมาย ทว่าดึกดื่นเช่นนี้ เรือนด้านหลังยังมีห้องๆ หนึ่ง
มีแสงสว่างจากตะเกียงอยู่ มีเงาของคนหลายคนปรากฏอยู่บนบานประตู เงาร่างหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนั้นอย่างกระวนกระวายใจ
“ท่านอ๋อง คนกลับมาแล้ว” ได้ยินเสียงจากด้านนอก องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รีบเอ่ยอย่างยินดี
ผู้ที่เดินไปเดินมาเหมือนแมลงวันบินว่อนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คืออ๋องฉางซุ่นซูหัง
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาอยู่ในค่ายทหารที่แม่น้ำหมินทางใต้ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะอยู่ห่างจากจุดตั้งค่ายของกองทัพราชสำนักไม่ถึงห้าลี้ ในเรือนของชาวบ้านที่ไม่สะดุดตา… ทั้งยังวางแผนการลอบสังหารที่สมบูรณ์แบบฉากหนึ่งขึ้น
มีคนเปิดประตูเข้ามา ร่างเล็กๆ ของทหารในชุดซีเยว่กระโดดลงมาจากหลังคาพร้อมกับคันธนูบนหลัง เร้นกายเข้ามาในเรือน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ซูหังรีบถาม
คนผู้นั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพต่อเขาแล้วเอ่ยว่า “ไม่ทำให้ผิดหวัง เรื่องที่ท่านอ๋องสั่งมา ข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้ว คนได้สังหารไปแล้ว ข้าน้อยเห็นกับตาว่าศพถูกหามออกมาจึงได้กลับมารายงาน”
ซูหังได้ยินแล้วดูเหมือนตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อได้สติคืนมาก็หัวเราะเสียงดังลั่น “ดี! ดี! ทำได้ดี!”
มันก็แค่ซูอี้ คิดจะมาต่อกรกับเขา? ฝันไปเถอะ
เคียดแค้นใจนักที่เขาไม่ได้กำจัดมันตั้งแต่ต้น ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องมาถึงจุดนี้
“ไป กลับค่าย!” แววตาของซูหังเป็นประกายคมปลาบพาดผ่าน
มีคนนำเสื้อกันลมคลุมสวมให้เขา คนทั้งหมดออกจากเรือนไปอย่างไร้สุ้มเสียง มีคนวิ่งนำไปสองก้าวเพื่อเปิดประตู ทว่าพอประตูเปิดออกด้านนอกกลับเต็มไปด้วยแสงไฟ
ซูหังและคนอื่นๆ ถอยหลังทันที เตรียมตัวป้องกัน
ผู้ที่เปิดประตูเมื่อครู่ได้เห็นสถานการณ์ด้านนอกอย่างชัดเจน บนกำแพงฝั่งตรงข้ามมีคบไฟดวงหนึ่ง ที่นอกประตูมีเพียงชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวสีดำยืนหันหลังให้ประตูอยู่เพียงคนเดียว
แสงจากคบไฟทำให้เงาของเขาพาดยาวลงพื้นจนถึงด้านในประตู มาสิ้นสุดที่ปลายเท้าของซูหัง
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพียงคนเดียว เขาจึงวางใจ มองด้านหลังของชายหนุ่มผู้นั้นแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร?”
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่พูดจา ได้ยินแล้วจึงค่อยๆ หันกลับมา ริมฝีปากของเขานั้นเฉยเมยทว่ามีรอยยิ้มเย็นชาปรากฏอยู่
ซูหังตกตะลึงไปก่อนแล้ว จากนั้นเมื่อเห็นหน้าของเขาอย่างชัดเจน ก็ถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นเจ้า!”
“เป็นข้า” ซูอี้ตอบ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา จนกระทั่งเดินขึ้นบันไดไปยืนอยู่ที่ระเบียงของประตู
คบไฟที่ตั้งอยู่บนกำแพงส่องย้อนใส่ด้านหลังเขา ทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนัก ทั้งหน้าตาของเขาก็มีส่วนคล้ายคลึงกับซูหลินอยู่หลายส่วน ซูหังที่ค่อยๆ ประจักษ์แก่สายตาตนนั้นยิ่งตกตะลึง อารมณ์บนใบหน้าเขาเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติคืนมา
มือธนูที่อยู่ข้างกายเขาร้องขึ้นอย่างเหลือเชื่อและโกรธเกรี้ยว “ไฉนจึงเป็นเจ้าได้เล่า? ทั้งๆ ที่ข้าเห็น…”
ขณะที่พูดสายตาของเขาก็มองสำรวจที่ร่างของซูอี้ พยายามหาร่องรอยบาดแผลหรืออาการอ่อนแรงบนร่างเขา
“เห็นอะไร? เห็นข้าตายน่ะสิ?” ซูอี้ตัดบทเขา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง และยิ้มด้วยความเย็นเยือก เอ่ยว่า “แต่…เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่เจ้าเห็นเป็นข้าจริงๆ?”
——————————————–