สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 52.3 เจ้าเป็นใคร (3)
เมื่ออยู่ในห้วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย คนทั้งหมดต่างไม่กล้าชะล่าใจ
พวกเขาเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้ ยามปกติพวกเขามีวิธีที่จะขอความร่วมมือจากขุนนางในการปฏิบัติภารกิจ
“ได้ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” มีคนตอบรับทันที
แบกศพคนของตนเองเรียบร้อย หลายคนต่างก็หายไปท่ามกลางราตรีรัตติกาล
อิ้งจื่อและโม่เสว่ที่ปลีกตัวออกมาจากการต่อสู้ในตรอกนั้น พบเพียงรอยเลือดเต็มพื้นก็ไม่พบอะไรอีก
————————–
ซูอี้ควบม้าไปอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง
เขานั้นต้องการออกจากเมืองหลวง แต่เส้นทางที่ใช้กลับไม่ใช่เส้นทางที่พวกคนชุดดำคิดว่าเขาจะกลับไปยังค่ายทหารประตูทางทิศใต้ แต่ไปประตูทางทิศตะวันออก
บาดแผลของเขาไม่ได้รับการดูแล เลือดไหลออกมาตลอดเวลา แต่เขากลับเร่งเดินทางอย่างเร่งรีบ ดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะหยุดลงเพื่อทำแผลแต่อย่างใด และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ยังไม่อยากจะปล่อยตัวซูหัง เพื่อได้เดินทางอย่างสบายๆ โดยทิ้งภาระชิ้นนี้ไว้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาตัวซูหังไปด้วย
ทั้งที่ตอนนี้มีซื่อหรงอยู่ด้านหลังของเขา
ด้วยเหตุที่พื้นที่บนหลังม้ามีจำกัด ร่างกายของทั้งสองคนจึงแนบชิดติดกันอยู่ด้วยกัน นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าร่างของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด อาภรณ์สองชั้นเปียกชุ่ม
“หยุด” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางพูดเสียงเย็นขึ้นมาทันใด
ซูอี้ไม่มีความคิดที่จะหยุดการเดินทาง ยังคงกัดฟันและควบม้าไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ซื่อหรงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ระหว่างคิ้วของนางจึงปรากฏความกังวลใจอยู่หลายส่วนพร้อมกับพูดว่า “พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าจากไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ เวลานี้คนของทางการน่าจะออกมาเคลื่อนไหวแล้ว สกัดปิดทางออกประตูเมือง ท่านต้องการออกจากเมือง คงไม่ทันการณ์แล้ว หากเดินทางไปเช่นนี้ มีเพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาอีกครั้ง”
ซูอี้เองย่อมกระจ่างแจ้งในเส้นสายของคนกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินแล้วใจพลันสั่นสะท้านขึ้นมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงดึงสายบังเหียนม้าอย่างจำยอม เขาเหลือบซ้ายแลขวาแล้วจึงบังคับม้าให้เข้าไปยังตรอกๆ หนึ่งที่ไกลออกมา
ทั้งสองคนพลิกกายลงจากหลังม้าโดยไร้เสียงพูดจา ซูอี้ยกมือขึ้นกุมบาดแผลบนแขนของตนเอง เขากัดฟันพูดว่า “ในกระเป๋าผ้ามียา”
ซื่อหรงยื่นมือเข้าไปคลำหาขวดใบหนึ่งออกมา มีทั้งหมดสี่ห้าขวด
บาดแผลของซูอี้มีสองแห่งด้วยกัน แม้จะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสทว่าเสียเลือดมากเกินไป ผนวกกับเมื่อสักครู่ที่มีการปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้สูญเสียพละกำลังไปมาก เมื่อครู่จิตใจเอาแต่พะวงกับการหนีเอาตัวรอด ยามนี้เมื่อหยุดพักแล้วกลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ฟันกระทบกันกึกๆ แม้กระทั่งพูดจาก็ไม่ไหลลื่น
“ขวดไหนเล่า?” ซื่อหรงส่งขวดทั้งหมดให้กับเขา
ซูอี้คิดจะยกมือไปรับมา แต่ปลายนิ้วกลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ยกมือแล้วกลับกันฟันแน่นแล้วกุมบาดแผลเอาไว้อีก ใช้สายตาบอกกล่าวแทน “สีแดงหรือสีขาวก็ได้”
ซื่อหรงหยิบขวดสีขาวด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใด ใส่ยาลงไปบนบาดแผลของเขาอย่างคล่องแคล่วทว่าไร้ซึ่งความนุ่มนวลอ่อนโยน แล้วยังฉีกเสื้อผ้าของเขามุมหนึ่งมาพันบาดแผลเอาไว้ให้เขา
ยาของเหยียนหลิงจวินนั้นสรรพคุณอัศจรรย์ยิ่งนัก ดูเหมือนเมื่อใช้ยาแล้วเลือดก็หยุดไหลทันที
ร่างกายของซูอี้ยังสั่นสะท้านอยู่บ้าง หลับตาลงพิงร่างกับกำแพงเพื่อควบคุมลมหายใจของตน
ซื่อหรงพลิกดูขวดยาทั้งหมดเหล่านั้น แล้วถามขึ้นอีกว่า “มียากินหรือไม่?”
“น่าจะมี” น้ำเสียงของซูอี้นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างชัดเจน
ซื่อหรงขมวดคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้หงุดหงิดใจอันใด
นางเองก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคมหอกคมดาบมาเป็นเวลาหลายปี จึงสามารถแยกแยะประเภทของยาชนิดต่างๆ ได้พอสมควร พลิกหาอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งหายาที่ถูกต้องได้แล้ว จึงเทยาออกมาสองเม็ดป้อนให้เขากิน แล้วหยิบน้ำจากหลังม้ามาป้อนเขาดื่มอีกคำหนึ่ง
ซูอี้ดื่มน้ำแล้วพักชั่วครู่ อาจเป็นเพราะยาที่กินลงไป แม้ว่าสีหน้าของเขาจะยังคงซีดขาวทว่าการหายใจนั้นมั่นคงดีขึ้นบ้าง เวลานี้จึงค่อยๆ ลืมตามองหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามและกล่าวว่า “เจ้าเตรียมตัวจะทำเช่นใด?”
ซื่อหรงมองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดใด ทว่าไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “แล้วแต่พวกเขาจะพูดอย่างไร ขอเพียงข้าพาเจ้าไปและเอาหัวของเจ้ากลับไปด้วยก็พอ”
ต่อให้คนเหล่านั้นให้ร้ายว่านางสมคบคิดกับซูอี้ สุดท้ายขอเพียงนางฆ่าคนและปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ในใจของฮ่องเต้ต้องรู้สึกสงสัยแน่นอน อย่างไร…
ทุกอย่างยังคงต้องพูดจากความจริง
อาจจะเป็นเพราะนางเป็นคนตรงไปตรงมาเกินไป ซูอี้ได้ยินคำพูดของนางแล้วกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเพียงแต่หัวเราะเสียงขื่นเท่านั้น “ยามนี้ถือศีรษะของข้า เจ้ามีความมั่นใจที่จะสังหารฝ่าวงล้อมของศาลาว่าการพระนครและพวกเขาหรือไม่?”
ซื่อหรงมองเขาแวบหนึ่ง เม้มปากโดยไม่พูดอันใด
ใบหน้าของนางนั้นดูเหมือนจะไม่มีการแสดงอารมณ์ใดใด มาโดยตลอด แม้กระทั่งสายตาของนางก็ยังมองตรงไปตรงมาอย่างแข็งกร้าวเย็นชา
นางมองชายหนุ่มที่หน้าซีดขาวทว่ายังคงหล่อเหลางามสง่าไม่สร่าง มองเห็นความท้าทายที่อยู่ในดวงตานั้น ไร้ซึ่งความหวาดกลัวหรือความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น
ชีวิตของนางสังหารคนมาแล้วมากมาย พบเห็นพฤติกรรมเลวร้ายของคนที่กำลังจะตายจนชินชา กลับเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้
สายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่ม มองอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน สุดท้ายกลับเคลื่อนย้ายสายตาไปที่อื่น ตวัดสายตาไปมองซูหังที่นอนไม่ได้สติอยู่บนหลังม้า พูดว่า “เจ้าจะพาเขาไปด้วยเพื่ออะไรกัน?”
ซูอี้คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วในแววตาพลันปรากฏจิตสังหารอันแรงกล้า
สีหน้าโหดเหี้ยมเพียงชั่วพริบตานั้น ยังส่งผลให้บรรยากาศในตรอกนี้เย็นลงหลายส่วน
แม้ซื่อหรงจะรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเขานั้นรุนแรงอยู่สักหน่อย ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจเขานัก ขณะที่นางคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบอันใด พลันได้ยินเสียงของซูอี้พูดขึ้นว่า “เขาสมควรตาย แต่จะตายที่นี่ไม่ได้ ข้าต้องพาเขาไปพบคนๆ หนึ่ง”
ซื่อหรงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เรื่องราวของสกุลซูนั้นนางเคยได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยถึง ก็รู้ว่าน้องชายคนที่สามของซูอี้คือซูฉีที่ตายอย่างไร้ความผิด จากนั้นจึงเข้าใจแผนการของซูอี้
นางเม้มปากและเงียบขรึมลง หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปประคองแขนข้างหนึ่งของเขาพร้อมกับพูดว่า “ไปเถิด ข้าส่งเจ้าออกจากเมือง”
ครั้งนี้กลายเป็นซูอี้ที่ตกตะลึงบ้างแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นขวับ
ในตรอกนั้นไม่สว่างนัก ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นซ่อนอยู่ในเงามืดยากแก่การคาดเดาอารมณ์และความรู้สึก
ซื่อหรงไม่ยี่หระต่อการคาดคะเนของเขา เดินไปจูงม้าพร้อมพูดขึ้น…
“ข้าย่อมสังหารเจ้า แต่จะไม่ยอมติดค้างเจ้า”
ก่อนหน้านี้ที่เกือบจะพลาดท่าเสียที ซูอี้ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยนางจากอาวุธลับ และไม่ได้คิดถึงร่างกายของตนเองต้องมารับคมดาบของนาง หากจะบอกว่านางไม่หวั่นไหวใดใดเลยนั้น คงต้องเสแสร้งแล้ว
ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายทำไมจะต้องช่วยนางไว้นั้น นางคร้านจะไปคิดให้ละเอียด แต่…
หนี้บุญคุณนั้นย่อมต้องชดใช้ให้กับเขา
—————————————————-