สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 52.5 เจ้าเป็นใคร (5)
ก่อนหน้านี้เขายังสงสัยว่าไฉนตนเองจึงจำคนผิด
เวลานี้กลับไม่อาจไม่ยอมรับว่า การที่เขาจำคนผิดนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้
เพราะในนาทีนี้ หากมองจากเงาด้านข้างแล้วนั้น หญิงสาวที่อยู่ในอาภรณ์หรูหราก็คือท่านหญิงฉางหนิงผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น ไม่เพียงแต่เขา…เกรงว่าต่อให้เป็นรุ่ยชินอ๋องเองก็อาจจะจำคนผิดด้วย
ทหารเหล่านั้นต่างคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาต่างรู้ว่าก่อนหน้านี้ท่านหญิงฉางหนิงมาอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนรุ่ยหวางเฟยที่รักษาอาการเจ็บป่วย และยังมีทหารเล็กน้อยที่เคยพบพวกนางสองแม่ลูกเข้าออกศาลาว่าการพระนครด้านข้าง เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนต่างเชื่อว่าผู้ที่อยู่บนรถม้าคือ…ฉู่ซินรุ่ย
“ท่านหญิงโปรดประทานอภัยขอรับ เป็นพวกข้าน้อยที่ตาไม่ดี ไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของท่านหญิง” คนผู้นั้นยังคงยอมรับผิดอย่างหวาดกลัว มือทั้งคู่ประคองป้ายอาญาสิทธิ์ส่งคืนไป ทว่ากลับมองเข้าไปในรถม้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วจึงเอ่ยปากถามว่า “แต่ว่าดึกดื่นเช่นนี้แล้ว ไม่ทราบว่าเหตุไฉนท่านหญิงจึงออกจากเมืองขอรับ? เช่นนี้ไม่ปลอดภัยไม่สู้รอให้…”
“ข้าจะออกจากเมืองเวลาไหนไม่ต้องให้เจ้ามาจัดการ เปิดประตู” หญิงสาวในรถม้าสั่งการ น้ำเสียงไม่ได้กล่าวหนัก ไม่ได้มีความรู้สึกขึ้งโกรธทว่ากลับมีความรู้สึกน่าหวั่นเกรง
คนผู้นั้นสั่นสะท้านเบาๆ กัดฟันลุกขึ้นมา พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านหญิงโปรดประทานอภัย บ่าวทั้งหลายไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางนะขอรับ”
ระหว่างที่กล่าวนั้นก็เดินไปดูสัญลักษณ์บนรถ เพื่อทำความแน่ใจว่ารถม้าคันนี้ออกมาจากจวนอ๋องรุ่ยชิน
ซูอี้รับป้ายอาญาสิทธิ์นั้นเก็บไว้อย่างดีโดยไม่ได้เอ่ยอันใด
คนผู้นั้นกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านหญิงออกจากเมืองไฉนจึงพาคนเพียงคนเดียวไป ให้พี่น้องของข้าสักหลายคนติดตามดีหรือไม่ เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของท่านหญิง”
“เปิดประตู” หญิงสาวผู้นั้นพูดเพียงสองคำ
ซูอี้เดินขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ปิดประตูรถม้าเพื่อปิดบังสายตาจากคนทั้งหมด
คนผู้นั้นยังลังเลใจอยู่หลายส่วน ซูอี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยอง “เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านหญิงพูดหรือ? หากทำให้ท่านหญิงเสียเวลา พวกเจ้ามีหัวกี่หัวที่จะรับผิดชอบได้เล่า?” สถานที่แห่งนี้ไกลหูไกลตาจากฮ่องเต้ อย่างไรเสียก็สัมผัสไม่ได้ถึงความสูงส่งของเมืองหลวงอีกระดับหนึ่ง
และด้วยเหตุที่รุ่ยหวางเฟยสะดวกต่อการมารักษาตัวที่นี่ จึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางทางนี้ คนเหล่านี้ไหนเลยจะกล้าล่วงเกินท่านหญิงแห่งจวนอ๋องรุ่ยชิน ดังนั้นจึงไม่รั้งเวลาอีกต่อไป เรียกคนให้เปิดประตู
ซูอี้กระโดดขึ้นรถ ขับรถม้าออกจากเมืองอย่างใจเย็น มุ่งไปข้างหน้าอย่างสง่างาม ทิ้งไว้เพียงฝุ่นเต็มถนน
ทหารยามหมู่หนึ่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่นั่น เนิ่นนานต่อมาจึงมีคนมาแจ้งว่า “หัวหน้า ก่อนหน้านี้สักพักข้าได้ยินว่ารุ่ยหวางเฟยและท่านหญิงกลับเมืองหลวงไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวลวง มีคนเห็นรถม้าของจวนอ๋องรุ่นชินออกจากเมืองไปเช่นกัน ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าบนรถม้ามีฉู่ซินรุ่ยด้วยหรือไม่
หัวหน้าทหารยามผู้นั้นไม่อยากคิดมากอันใด จึงถลึงตาใส่เขาและเอ่ยว่า “เจ้าจะรู้อะไร อาจจะยังไม่ได้ออกจากที่นี่ก็เป็นได้”
เรื่องราวที่ชนชั้นสูงเหล่านั้นทำล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดทั้งสิ้น หาคนไม่พบก็มีมากมาย ฉู่ซินรุ่ยออกจากเมืองในเวลานี้ ทุกคนต่างก็มีความคิดของตนเอง
แปดส่วนคิดไปแล้วว่า…
ไปทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมจะเปิดเผยกับผู้คนภายนอกก็เท่านั้น
หัวหน้าผู้นั้นคิดแล้ว เพียงแต่เกรงว่าจะล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ ได้แต่กำชับทหารชั้นผู้น้อยทั้งหลายด้วยความหวาดกลัวว่า “พวกเจ้าทุกคนปิดปากให้สนิท หากมีผู้ใดแพร่งพรายร่องรอยของท่านหญิงออกไปแม้เพียงครึ่งคำ หากท่านหญิงเอาเรื่องขึ้น ระวังหัวของพวกเจ้าให้ดี”
รุ่ยชินอ๋องเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ ฐานะสูงส่งอำนาจล้นฟ้า ฐานะของชายาและลูกสาวล้วนสูงส่งยิ่ง หากสามารถประจบสอพลอได้พึงทำเถิด
“ขอรับ!” ทุกคนรีบรับคำ ไฉนเลยจะกล้าอิดออดแม้เพียงเล็กน้อย กระทั่งรถม้าคันนั้นออกไปไกลมากจนมองไม่เห็นรถม้าแล้วจึงปิดประตูเมือง
ประตูเมืองด้านหลังค่อยๆ ปิดสนิทลง เกิดเป็นเสียงดังขึ้น
ซูอี้ควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างใจลอย ทว่าคิ้วผูกเป็นปมแน่น คิ้วของเขาไม่คลายลง เขาควบคุมรถม้าไปเช่นนี้ระยะหนึ่งอย่างไม่เร็วและไม่ช้า จนซื่อหรงที่อยู่ในรถม้านั้นทนไม่ไหวแล้ว
“หยุดเถอะ” เสียงของหญิงสาวลอยออกมาอีกครั้ง ซูอี้จึงได้สติคืนมาทันใดและดึงสายบังเหียนม้าเอาไว้
เขากระโดดลงจากรถม้า ซื่อหรงเปิดประตูลงจากรถม้าตามหลังเขาเช่นกัน
นางได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดนั้นแล้ว ที่เห็นเป็นใบหน้าที่ไม่เหมือนฉู่ซินรุ่ยแม้แต่น้อย พลันทำให้ซูอี้เกิดความรู้สึกประหลาดใจ
ครั้งนี้นางเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะแก่การเดินทางในยามค่ำคืน เพียงสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ชัดเจนยิ่งว่าได้หยิบมายามที่ขโมยรถม้าออกมา
ขณะที่ลงจากรถม้า นางก็ลากซูหังโยนลงมาจากรถม้าเช่นกัน จากนั้นจึงไปปลดรถม้าออกและผูกอานม้า
นางทำเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ซูอี้กลับมองการกระทำทั้งหมดของนางอย่างไม่กะพริบตา
นางจัดการม้าทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เรียกซูอี้ “ไปเถิด”
จากนั้นใช้ฝ่ามือแตะที่อานม้าจะขึ้นหลังม้า
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้น กลับเป็นความรู้สึกของเขาเองที่เดินขึ้นไปอีกก้าวแล้วกดมือของนางเอาไว้ สีหน้าเคร่งขรึมที่มองใบหน้าด้านข้างของนางพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ากับท่านหญิงฉางหนิงมีความเกี่ยวข้องอันใดกัน?”
ซื่อหรงไม่พูดจา เพียงแต่สลัดมือของเขาออกไป
ซูอี้ใช้กำลังไม่ให้นางสะบัดมือของเขาออกได้ ยังคงมองนางอีก “ก่อนหน้าที่ในงานเลี้ยงของวังบูรพาข้าก็เคยคิดว่านางเป็นเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
ระหว่างที่พูดนั้นสายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหญิงสาว ไม่ยอมปล่อยสีหน้าและอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนาง แต่ละคำพูดออกมาอย่างลำบาก “วันนี้เจ้าใช้ประโยชน์จากฐานะของนาง นั่นแสดงว่าเจ้าย่อมเข้าใจถึงจุดนี้ดี …เจ้าเป็นใครกันแน่?”
—————————————————