สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 53.3 ตายตั้งแต่ยังเล็ก (3)
แสงสุดท้ายค่อยๆ ลับหาย ส่องให้ร่างเขาอาบไปด้วยสีทอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เงาที่ทาบทับลงพื้นหญ้าสูงยาวขึ้น
หลุมศพเรียงรายละลานตา รกร้างและเสื่อมโทรม
พิษในร่างของซูหังออกฤทธิ์ เขาขดตัวจนเป็นก้อน ชักกระตุกด้วยความทรมาน
ซื่อหรงมองเขาอย่างเฉยชา ก่อนจะเดินตามเขาไป
สองคนออกจากสุสานสกุลซู ยังคงขี่ม้าผ่านเส้นทางเดิม ระหว่างทางทั้งคู่มีเพียงความเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น
วิ่งวุ่นจนดึกดื่น ขณะนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ทำนบทอดยาวอยู่เบื้องหน้า พาดผ่านแม่น้ำหมินที่กำลังไหลอย่างฮึกเหิม
ซูอี้ชักบังเหียนหยุด พลิกตัวลงจากม้า ลงมายืนบนทำนบกั้นน้ำอย่างไม่ไหวติง
คืนนี้ลมแรง พัดคลื่นกระทบฝั่ง ละอองน้ำกระเซ็นไกลเป็นจั้ง ทำให้ชายเสื้อคลุมเขาเปียกชื้น
ซื่อหรงลงจากม้าแล้วสาวเท้าเข้าไปหา นางไม่ได้เดินผ่านเขา เพียงหยุดที่ด้านหลังห่างออกไปหนึ่งก้าว
นางมิใช่คนใจดีนึกเห็นใจใคร ทั้งไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอไปห่วงเรื่องคนอื่น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า…
ความลับของสกุลซูที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำทำให้นางตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
บุรุษที่อยู่เบื้องหน้า มองคล้ายว่าสง่างามสว่างไสว ความจริงทุกย่างก้าวของเขาล้วนแต่อันตราย ยิ่งกว่านั้น…
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดที่ฆ่าน้องชายแท้ๆ ด้วยมือของตัวเอง และตอนนี้…
แม้จะสังหารซูหังไปแล้ว แต่ตราบาปที่ติดอยู่ในใจก็ไม่อาจเลือนหายไปทั้งหมด
ความจริงแล้ว ซื่อหรงปลอบใจใครไม่เป็น
ความเงียบงันของนางกลับทำให้ซูอี้หัวเราะหยันออกมา ก่อนจะเอ่ยปากก่อนว่า “เรื่องแบบนี้เจ้าน่าจะเจอมาไม่น้อย สกุลใหญ่สูงศักดิ์ แก่งแย่งชิงดี ก็แค่แผนการที่เจอได้ทั่วไปสินะ”
ซูหังคิดนั่งบนตำแหน่ง เขาต้องการกำจัดซูฉี ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เขากลายเป็นขวากหนามชิ้นที่สอง ดังนั้นจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม…
หลอกใช้ความเยาว์ไม่รู้ความของเขา ใช้เขาให้กำจัดซูฉีด้วยมือของตัวเอง
เพราะคนอย่างซูจิ่นรั่ง หากว่าเขามิใช่คนลงมือ ซูจิ่นรั่งมีหรือจะสืบหาต้นตอไม่พบ? แต่หากว่าเขาเป็นคนทำจริง ต่อให้มีร้อยปากก็แก้ต่างอะไรไม่ได้
หลายปีที่ถูกขับไสและทอดทิ้ง ทั้งยังต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความรู้สึกผิดมากมายนับไม่ถ้วน ชีวิตเช่นนั้น…
ตอนนี้กลับมาคิดดู บางครั้งเขาก็ไม่รู้จะยืนหยัดต่อไปเพื่ออะไร
แค่เพราะอยากแก้แค้นอย่างนั้นรึ?
บัดนี้เขาสังหารซูหังกับมือ ทำลายทุกอย่างของพวกนั้นจนสิ้น ทว่า…
อดีตที่ผ่านไปปีนั้น กลับไม่อาจเอาคืนมาได้
ต่อให้เขาสังหารคนที่คิดแค้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เขาสังหารน้องชายตัวเองได้ มือของเขาเปื้อนเลือดไปแล้ว จะล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก
ซื่อหรงเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูอี้หาได้สนใจ เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยเสียงเจ็บปวด “ผู้นำตระกูลจะเป็นใครข้าไม่เคยสน แต่ข้าทนให้พวกเขาแก่งแย่งชิงดีแล้วยืมมือข้าไปฆ่าคนไม่ได้ หากพวกเขาทำเหมือนข้าเป็นก้อนหินที่ขวางทางแล้วเตะทิ้ง ข้าเองก็พร้อมจะจากไปแต่โดยดี แต่ว่า…เหอะ ข้าคิดว่าหากได้ฆ่าพวกเขา จะทำให้หัวใจข้าเป็นสุขขึ้น แต่ความจริง…”
เขายิ้มเยาะกับตัวเอง ก่อนจะหมุนกายกลับมา
ซื่อหรงเดิมจ้องมองแผ่นหลังเขาอย่างเหม่อลอย จู่ๆ พอได้สบตา จึงมุ่นคิ้วนิดๆ ด้วยความอึดอัด
“เจ้าคงคิดว่าข้ามันจอมปลอมและต่ำช้ามากใช่ไหม?” ซูอี้ถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ถ้าใจข้ารู้สึกผิดบาปมากพอ คงไม่มีหน้าใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้…”
“ความจริง…” เขาเอาแต่พูดกับตัวเองไม่หยุด และไม่คิดว่าจะได้การตอบรับจากหญิงสาวผู้นี้
ซื่อหรงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา แต่สายตากลับมองเลยผ่านเขาไป นางจ้องมองสายน้ำที่ไหลเชี่ยว “เจ้าฆ่าคนอื่น อย่างไรก็ดีกว่าให้คนอื่นมาฆ่าเจ้า!”
“เขาไม่ใช่คนอื่น!” ซูอี้สวนกลับ น้ำเสียงฟังคล้ายอดกลั้น แต่กลับแผดเสียงออกมาอย่างทนไม่ไหว นัยน์ตามีคลื่นน้ำคลอรื้น พยายามข่มความรวดร้าวเอาไว้
นั่นเป็นน้องชายของเขา แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่คนก็ต้องมาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือเขา
เขายังจำดวงหน้าที่บิดเบี้ยว เสียงร้องไห้ที่เจ็บปวด และดวงตาที่มองเขาด้วยความหวังได้ไม่ลืม
น้องดึงชายเสื้อคลุมเขาไว้แน่น เรียกเขาด้วยน้ำเสียงครางต่ำเพราะความทรมาน ‘พี่รอง…’
แต่เขาได้แต่ยืนมองอย่างงงงัน จ้องดูนิ้วมือซีดเผือดของตัวเอง ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลยสักนิด
จนกระทั่งพวกซูจิ่นรั่งกับซูหังกรูกันเข้ามา
ภายในเรือนสับสนวุ่นวายไปหมด
ซูฉีถูกอุ้มออกไป ทุกคนหายตัวไปราวกับสายลมพัด
วินาทีนั้นเขาเหมือนถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง และจากนั้นโลกของเขาก็พังทลาย
ต่อมาเขาได้เจอซูจิ่นรั่งเพียงครั้งเดียว สายตาของท่านปู่ที่เคยมองเขาด้วยความเมตตาเปลี่ยนเป็นความเย็นเยือก ท่านปู่ไม่แม้จะแตะต้องเขา และไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
นับแต่ที่เขาถูกส่งตัวออกไปก็ไม่เคยได้เจอท่านปู่อีก
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ท่านผู้เฒ่าก็ลาจากโลกนี้
แม้เขาจะรู้ฐานะตนในใจของท่านปู่ดีว่าจะมีหรือไม่มีเขาก็ได้ และทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะมีชะตาอย่างไรหากอยู่ในมือของผู้เฒ่าคนนั้น…
ตอนที่ข้างกายไร้ญาติขาดมิตร เขายังหลอกตัวเองว่านั่นคือท่านปู่ของเขา เป็นครอบครัวที่ยึดโยงด้วยสายเลือด
สีหน้าของซื่อหรงยังนิ่งเฉย เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “สมมติว่าตอนนั้นใช้ชีวิตเจ้าแลกกับชีวิตเขาได้ เจ้าจะยอมไหม?”
“ข้าย่อม…” ซูอี้ตอบทันที
“แต่ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องสมมุติแบบนั้นหรอก” ซื่อหรงไม่รอให้เขาพูดจบก็ตัดบทเสียก่อน “อยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย ไม่มีทางให้เดินย้อนกลับ ไม่มีทางเลือกมากมายขนาดนั้น เจ้าควรจะรู้สึกขอบคุณที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าตายไป…”
นางไม่ยอมพูดต่อให้จบ
ต่อให้อยู่อย่างน่าสมเพชเพียงใด ต่อให้ต้องไร้ตัวตน ต่อให้มองไม่เห็นอนาคต…
นางก็ยังรู้สึกขอบคุณเสมอที่ตนยังมีชีวิต
แววตาของนางคล้ายล่องลอยเป็นอิสระ ซูอี้มองนางพลันรู้สึกไม่ชัดเจนไปด้วย
เขาขมวดคิ้ว สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าของหญิงสาว พยายามค้นหาบางสิ่งในสายตานาง แต่กลับหาสิ่งใดไม่พบ
สองคนยืนเงียบอยู่ใต้ลมเย็นที่เปียกชื้น ลืมทั้งเวลาและอดีตเก่าๆ ไปเสียสิ้น
ผ่านไปค่อนคืนแล้ว ท้องฟ้ายิ่งดำทะมึนขึ้นกว่าเก่า
ซูอี้สูดหายใจลึก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พยายามดึงแขนเสื้อของนาง “ไปเถอะ!”
ซื่อหรงเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่รู้ตัว วินาทีต่อมา ด้านหลังทำนบพลันมีร่างเงาสี่ร่างโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ทำเอาละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทางคนทั้งสอง
ท่ามกลางประกายวิบวับของหยดน้ำสะท้อนให้เห็นตาข่ายใหญ่ที่กำลังครอบลงมาเหนือศีรษะของทั้งคู่
ซูอี้หรี่ตามอง ตอนที่ยื่นมือออกไปก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า แต่เหมือนเขาจะคำนวณทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า มือจึงเบี่ยงไปชักมีดโค้งที่เอวของนางแทน แล้วโถมตัวไปเบื้องหน้าทับร่างของนางเต็มๆ
—————————————————-