สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 56.2 ใช้เป็นเครื่องมือก็ไม่เป็นไรหรือ? (2)
“ข้าจะลองคิดหาทางดู!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพร้อมส่งสายตาให้นางสบายใจ แล้วหันไปทางอื่น ส่งสัญญาณด้วยการดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ที่รออยู่ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักรีบเข้ามาหา “นายท่าน ท่านหญิง!”
“คืนนี้ออกไปนอกเมืองไม่ได้แล้ว พวกเจ้าพาท่านหญิงกลับไปพักที่จวนของข้าเถิด ส่วนเรื่องอื่นรอข้ากลับไปดึกหน่อยแล้วค่อยว่ากัน” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางยื่นมือจะส่งร่มให้ฉู่สวินหยาง
“เจ้าเก็บไว้ใช้เถอะ!” ฉู่สวินหยางผลักมือเขาออก นางเดินเพียงสองก้าวก็ไปอยู่ใต้ร่มของเจี๋ยหง แล้วหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา “เจ้าไปดูหน่อยก็ดี หากไม่สะดวก…ก็ให้ซูอี้ตัดสินใจแก้ปัญหาเองเถอะ!”
ซูอี้มีท่าทีต่อซื่อหรงแปลกไป ดังนั้นนี่ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างออกมาแล้ว
“อื้ม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า เขาคอยมองตามหลังพวกนางสามคนนายบ่าวไปตลอด แล้วถึงจะหันตัวเดินไปทางถนนใหญ่ที่ห่างไกล
———————————-
ซื่อหรงกับซูอี้เดินตามกันไปท่ามกลางสายฝน ฝนที่โปรยปรายลงมาช่วงกลางคืนทำให้เสื้อผ้าของทั้งสองคนเปียกชื้นจนแนบผิวหนัง ซื่อหรงยังดี แต่ตัวซูอี้นั้นมีบาดแผลเดิมที่ยังไม่หายดี ตอนนี้มาเปียกฝนอีกจึงทั้งแสบทั้งคันแผลและรู้สึกทรมานจนพูดไม่ออก
ข้างหน้านั้นหญิงสาวก้าวเดินอย่างมั่นคงตลอด ทว่ากลับเหมือนวิญญาณหลงทางที่มองจากเงาด้านหลังแล้วทั้งอับจนหนทางและไร้ที่พึ่งพิง
ทั้งที่ในใจรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางมากเกินไปและไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปปลอบใจนางเช่นกัน จึงทำได้เพียงตามไปห่างๆ อย่างสงบแบบนี้
ฝนยิ่งตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มบดบังทัศนวิสัยตรงหน้าจนยิ่งมองเห็นไม่ชัด
ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านถนนใหญ่มาตลอดทางก็ไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย
พอเห็นว่านางกำลังจะเลี้ยวตรงหัวมุมถนนข้างหน้า ซูอี้ก็รู้สึกร้อนใจจนรีบเดินให้เร็วขึ้น
ทว่าเขายังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปหานางก็เจอเข้ากับเงามากมายที่สวมเสื้อกันฝนและถือดาบแหลมคมไว้ในมือบุกเข้ามาพร้อมกันเสียก่อน
ฟ้าผ่าจนท้องฟ้าสว่างวาบพอดี ทำให้คมดาบที่สว่างไสวดุจหิมะในมือของพวกเขาสว่างจ้าจนแสบตา
หากเป็นเมื่อก่อนซื่อหรงจะรู้ตัวและไม่ยอมให้คนพวกนี้ประชิดตัวได้เด็ดขาด แต่วันนี้นางเพิ่งจะเผชิญกับความสิ้นหวังมาจึงไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องอื่นอีก
พอเห็นดาบยาวของคนชุดดำที่วิ่งอยู่หน้าสุดผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า
ซูอี้ก็เบิกตากว้างและตะโกนเสียงดัง “ระวัง!”
ซื่อหรงได้ยินแล้วเผลอหันไปมอง จึงโดนคมดาบที่ฟาดลงมานั้นสะท้อนเข้าตาจนตาพร่า แต่มือขวาของนางกลับชักดาบโค้งออกมาแล้ว
ดาบปะทะกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟสว่างไสวไปทั่วทิศ
ถึงแม้ตอนนี้จะสกัดท่าไม้ตายของคนนั้นเอาไว้ได้ แต่ก็มีคนวิ่งเข้ามาประชิดด้านหลังและแทงดาบเข้ามาอีก
ด้วยฝีมือของซื่อหรงแล้ว หากนางอยากจะปลีกตัวถอยออกมาในเวลานี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คมดาบสว่างวาบอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่คนนั้นไล่นางออกมาก่อนหน้านี้อย่างเด็ดขาดและไร้เยื่อใย นางจึงปวดใจขึ้นมาจนหมดแรงไปในทันใด มุมปากคล้ายจะยกยิ้มอย่างขมขื่น แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาจับดาบยาวของคนชุดดำคนแรกที่ยันอยู่บนดาบโค้งของนางด้วยมือเปล่าทันที
เลือดสดไหลลงไปตามร่องนิ้วของนางและปนไปกับน้ำฝนในชั่วพริบตา
คนนั้นก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่านางจะใช้วิธีที่เหมือนจะทำร้ายตนเองแบบนี้มาสู้กับเขา จึงอึ้งไปเล็กน้อยและนิ่งไปทันที
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นซื่อหรงกลับดึงมือหนึ่งกลับมาและส่งมืออีกข้างหนึ่งออกไปแทน นางส่งดาบโค้งในมือขวาที่เพิ่งจะเป็นอิสระอีกครั้งออกไป
เพียงดาบโค้งหลุดไปจากมือ น้ำฝนที่สาดไปทั่วก็เหมือนกลายเป็นปลายดาบแหลมคมไปด้วยเช่นกัน มันหมุนวนอยู่กลางอากาศและแทงลึกเข้าไปในหน้าอกของคนชุดดำที่มาทีหลังอย่างแม่นยำที่สุดพอดี
เลือดสาดกระเซ็น!
ร่างของคนนั้นที่เดิมทีกำลังจู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรงดุจสายฟ้าฟาดจนมิอาจสกัดกั้นได้ พลันหยุดชะงักไปทันที ร่างนั้นโงนเงนอยู่ที่เดิม แล้วก็ล้มลงไปในน้ำโคลนด้านหลังดังตูม
คนแรกเพิ่งจะได้สติก็ตอนนี้ นัยน์ตาทอประกายกร้าวและกำลังจะลงมือ
ทว่าซื่อหรงเหมือนไม่คิดที่จะสู้อีกต่อไปแล้ว นางหลับตาลงรอความตายอย่างไร้ความหวาดกลัวในทันใด
คนนั้นไม่สนใจว่าเวลานี้นางรู้สึกอย่างไร แค่ถือดาบขึ้นมาและแทงไปเท่านั้น
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นซูอี้กระโจนเข้าไปได้ทันเวลาพอดี เขากระแทกข้อมือของซื่อหรงเพื่อบังคับให้นางคลายมือที่จับคมดาบของคนชุดดำอยู่ก่อนเป็นอย่างแรก แล้วโอบเอวของนางไว้ เขาเองก็ไม่คิดจะสู้รบกับใครทั้งนั้นเช่นกัน พอนางปล่อยมือ เขาก็รีบพาหนีไปทันที
เดิมทีการปรากฏตัวของเขานั้นก็ค่อนข้างเกินความคาดหมายอยู่แล้ว และฝนกำลังตกหนักพอดี พวกคนชุดดำติดตามไปได้ระยะหนึ่ง แต่ข้างหน้ากลับฝนตกหนักเสียจนลบร่องรอยของสองคนนั้นไปตั้งนานแล้ว
ซูอี้พาซื่อหรงปีนกำแพงบ้านติดต่อกันหลายแห่ง หลังจากลัดเลาะผ่านตรอกไปอีกหลายตรอก เขาถึงจะชะลอความเร็วลง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีทหารไล่ตามมาแล้ว จึงจัดแจงให้นางพิงมุมหนึ่งใต้ชายคาประตู เขาพรมยาจินชวงที่ล้วงออกมาจากในอกลงบนบาดแผลบนมือของนาง และฉีกผ้าแถบหนึ่งจากชายเสื้อชั้นในของตนเอง พอบิดจนแห้งแล้วก็พันแผลให้นางอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ทำทุกอย่างนั้นเขาไม่ได้เงยหน้ามองหน้าของหญิงสาวแม้แต่น้อย
ซื่อหรงพิงบานประตูด้านหลังอย่างหมดแรง นางมองการกระทำของเขาและยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ด้วย?”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างยุ่งยากใจ ผ่านไปชั่วครู่ถึงเอ่ย “ยังดีที่ไม่โดนเส้นเลือด”
เขาพูดจบก็กวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้งและขมวดคิ้ว “ดูท่าทางฝนคงไม่หยุดเร็วๆ นี้ หาที่หลบก่อนเถอะ!”
ว่าแล้วก็ลากข้อมือของหญิงสาวหลบหายไปท่ามกลางสายฝนอีกโดยไม่ยอมอธิบายอะไร
ซื่อหรงเองก็ไม่ได้ขัดขืนมากนัก นางแค่ปล่อยให้เขาลากตัวไป หลังจากเดินอ้อมไปอีกสองตรอก สุดท้ายซูอี้ก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งที่ประตูทางเข้าปิดแน่นสนิท
ซื่อหรงเงยหน้ามอง แม้ป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูจะถูกปลดไปแล้ว แต่นางกลับรู้ดีว่าเมื่อก่อนที่นี่คือจวนอ๋องฉางซุ่น ซึ่งก็คือจวนของตระกูลซูในเมืองหลวงนั่นเอง
“หลังจากซูหลินตาย ฝ่าบาทก็ริบที่นี่คืนไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าของคนใหม่ย้ายเข้ามา ดังนั้นบ้านจึงยังว่าง” ซูอี้เอ่ย และเพราะว่ามีแผ่นกระดาษยาวติดอยู่บนประตูใหญ่ เขาจึงพานางปีนกำแพงเข้าไป
จวนของตระกูลซูแห่งนี้ใหญ่มากและยังว่างมาระยะหนึ่งแล้ว ในคืนฝนตกแลดูวังเวงและน่ากลัวมากทีเดียว
ทั้งสองคนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปเพื่อหาห้องที่ไม่สะดุดตาในเรือนที่ลับตาคน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเรือนด้านหลัง มองปราดเดียวก็รู้ว่าน่าจะเป็นห้องของคนรับใช้ เพราะด้านในตกแต่งอย่างเรียบง่าย
“เจ้ารอข้าสักครู่” ซูอี้เข้ามาแล้วก็ออกไปอีก
แต่ซื่อหรงกลับยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ขยับ น้ำฝนไหลลงไปตามเส้นผมที่แนบหน้าตลอด พอรวมเข้ากับน้ำบนเสื้อผ้าแล้วก็กลายเป็นแอ่งน้ำใต้เท้าอย่างเร็วมาก
ซูอี้ไปไม่นานก็กลับมาพร้อมห่อผ้าในมือ พอเห็นว่านางยังยืนเหม่ออยู่หน้าประตูก็ลากนางเข้าไปข้างในด้วยกัน แล้วเปิดห่อผ้าอย่างคล่องแคล่ว เขาหยิบเสื้อผ้าหลายชิ้นออกมาจากในนั้นและยัดใส่มือนาง “ข้าจะออกไปก่อน ส่วนเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นที่นี่”
เขาพูดจบก็สาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพยักหน้าตกลง
ซื่อหรงถือเสื้อผ้าที่แห้งและนิ่มไว้ในมือ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ออก แล้วสวมเสื้อผ้าของคนใช้ตัวหนึ่งที่ไม่เก่านักแทน
นางเพิ่งจะแต่งตัวเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกอีก ซูอี้เคาะประตูอยู่ข้างนอกเอ่ยถาม
“เรียบร้อยหรือยัง?”
“อื้ม!”
พอได้ยินคนข้างในขานรับแล้ว ซูอี้ถึงผลักประตูเข้ามา
เขาหาเสื้อคลุมที่แห้งมาเปลี่ยนให้ตนเองแล้วเช่นกัน เพียงแต่ผมของทั้งคู่ต่างเปียกชุ่มจนปรกบ่าและถึงอย่างไรก็ยังแลดูกระเซอะกระเซิง
เขามองหญิงสาวแล้วไม่รู้ว่าเพราะปกติเห็นนางใส่ชุดของผู้ชายจนชินหรือเปล่า ตอนนี้ถึงได้รู้สึกแปลกตาไปหมด
“แค่ก…” ผ่านไปชั่วครู่ซูอี้ถึงไอออกมาและเสมองไปทางอื่น
เขาไปดูห้องครัวมาคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นตอนที่กลับมาจึงถือหม้อดินกับถ้วยสองใบติดมือเข้ามาด้วย เขาชักดาบออกมาผ่าโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องเป็นฟืนไปพร้อมกับเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ขุนนางตรวจสอบและยึดทรัพย์สินของจวนนี้ไปรอบหนึ่ง จึงไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าทิ้งเครื่องหมายไว้แถวนี้แล้ว พวกเรารออยู่ที่นี่ คนที่มาช่วยน่าจะมาหาได้ก่อนฟ้าสว่าง”
ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็เริ่มหยิบกระบอกไฟมาจุดไฟอย่างคล่องแคล่ว แล้วตั้งหม้อดินต้มน้ำร้อนบนกองไฟ
ซื่อหรงยืนมองเขาอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งๆ บางทีสายตาก็เหม่อลอย บางทีก็เฉยชา จนไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ซูอี้ก่อกองไฟเสร็จแล้วก็หันมองรอบตัวอีก เขาเดินไปรื้อและยกไม้รองเตียงมา แถมยังดึงมุ้งมาทั้งผืนและปูไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็เงยหน้ามาเรียกนาง “มาผิงไฟสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
ซื่อหรงนิ่งเฉย นัยน์ตาคู่นั้นแค่จ้องมองกองไฟนั้นอย่างเหม่อลอยเท่านั้น
ซูอี้รออยู่ชั่วครู่ จนในที่สุดก็จำใจเดินไปจะจูงมือนาง แต่นางกลับหลบและเดินไปนั่งบนไม้รองเตียงนั้นด้วยตนเอง
ซูอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจ ตัดสินใจนั่งลงเยื้องฝั่งตรงข้ามของนาง
ซื่อหรงไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว นางเอาแต่จ้องเปลวไฟวูบวาบตรงหน้าอย่างใจลอยและนิ่งเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
ซูอี้เงยหน้ามองนางเป็นบางครั้ง แล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
พอก่อกองไฟขึ้นมาแล้ว เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็ทำให้ห้องอุ่นขึ้นมาไม่น้อย ไม่นานนักน้ำที่ต้มในหม้อดินก็ร้อนได้ที่
ซูอี้หยิบถ้วยไปเทน้ำใส่ แต่เมื่อเห็นซื่อหรงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงเหม่อลอย จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นเดินไปยื่นน้ำครึ่งถ้วยให้นาง พลางถอนหายใจว่า “ดื่มน้ำร้อนคลายหนาวสักหน่อยเถอะ”
——————————————————–