สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 56.4 ใช้เป็นเครื่องมือก็ไม่เป็นไรหรือ? (4)
เขาไม่รู้ว่าเวลานี้ตนเป็นอะไรไปแล้ว เหมือนนางได้ปล่อยเวทมนตร์บางอย่างออกมาตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก นางดึงดูดสายตาเขาและฉกฉวยความสนใจไปจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังทำให้เขาอยากจะพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้ใกล้ชิดนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทั้งที่รู้ดีว่าอันตรายอย่างยิ่ง
ตอนนี้เขาตื่นเต้นจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
หลังจากอึ้งไปชั่วครู่ เขาก็ฉวยโอกาสจูบนางอีกครั้งและตั้งใจกลืนน้ำตารสเค็มฝาดบนใบหน้าของนางลงไปทีละนิดโดยไม่รอให้หญิงสาวปฏิเสธหรือทัดทาน
เสียงฝนด้านนอกเริ่มดังมากเรื่อยๆ ทว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนั้นกลับร้อนขึ้นไม่หยุดอย่างน่าประหลาด
เขาตื่นเต้น นางก็เช่นกัน
ซูอี้รู้นิสัยผู้หญิงคนนี้ดี หากว่ากันตามปกติแล้วอย่างไรเขาก็ไม่ควรคิดล่วงเกินอีกฝ่าย แต่เขาเหมือนต้องมนตร์ลึกลับนั้นไปแล้ว
ริมฝีปากของเขาสั่นระริกเหมือนลังเล ทว่าในเมื่อหญิงสาวยังไม่ปฏิเสธอย่างชัดเจน หน้าอกก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลองยกมือขึ้นมาประคองแก้มของนางไว้ด้วยสองมือ
ริมฝีปากอุ่นร้อนก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากค่อนข้างเย็นของหญิงสาว
เหมือนดอกไม้ไฟลูกใหญ่ระเบิดเสียงดังสนั่นในหัวของทั้งสองคน
ซูอี้เผลอกลั้นหายใจ เขารู้สึกแค่ว่าหัวใจเต้นระรัวอยู่ในอก จนเหมือนกับจะฝ่าฟันอุปสรรคที่กีดขวางและกระโดดออกมาได้ทุกเมื่อ
ซื่อหรงยิ่งเกร็งไปทั้งตัว นางเบิกตาโตคล้ายทำอะไรไม่ถูกและงุนงง
นางก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นอะไรไปแล้วเช่นกัน ถึงได้ยอมให้คนคนนี้ลวนลามนางมากขึ้นเรื่อยทุกที แม้อยากจะขัดขืน แต่อาจจะเป็นเพราะสายตาของเขามองนางอย่างจริงใจและอ่อนโยนเกินไป กระทั่งบางทีก็อยากจะหลงมัวเมาไปกับการสัมผัสผิวกายอันอบอุ่นของกันและกันจนเหมือนเป็นบ้า ถึงแม้จะมีความคิดมากมายแวบเข้ามาในใจตลอด แต่นางกลับอึ้งและตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
“ซื่อหรง ข้า…” ซูอี้รู้สึกเพียงลำคอตีบตัน อยากจะรีบอธิบายว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเจ้าชู้กับนาง แต่พอตอนนี้นางอยู่ใกล้เขาแบบนี้ ความคิดของเขากลับตีกันยุ่งเหยิงจนแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้
ยิ่งนางไม่ขัดขืนตอนที่จูบกัน กลับทำให้เขามีความกล้าที่จะลองให้รู้มากยิ่งขึ้น เขาประคองแก้มของนางไว้ด้วยสองมือ คิดจะลองเปลี่ยนการแตะต้องตัวกันเพียงเล็กน้อยให้กลายเป็นจูบที่แท้จริงในที่สุด
ทันใดนั้นซื่อหรงก็คล้ายจะไม่แน่ใจความรู้สึกในเวลานี้ของนางเอง นางไม่ได้รู้สึกชอบใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ รู้สึกเหมือนตนเองเป็นจอกแหนที่ล่องลอยอยู่ในคืนฝนตกอันหนาวเหน็บ และรู้สึกอ้างว้างเหมือนหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่เจอ
ความรู้สึกแบบนี้พลันทำให้นางรู้สึกว้าเหว่ และในใจลึกๆ แล้วก็อยากจะรีบคว้าอะไรบางอย่างไว้ให้ได้
ดังนั้นนางจึงหลับตาลง แล้วยกมือขึ้นกอดร่างหนาใหญ่ของชายหนุ่มตรงหน้าไว้ ยินยอมรับการแนบชิดและจูบที่ค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้นของเขาอย่างเต็มใจ
หัวใจของซูอี้อุ่นวาบในทันใด ในหัวพลันว่างเปล่าในชั่วพริบตาเช่นกัน เขาไม่คิดจะชั่งใจและคิดทบทวนอีกต่อไปเพียงแค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย เขาเลื่อนมือไปจับด้านหลังศีรษะนางและพานางเข้าสู่อ้อมกอดของตน
ซื่อหรงค่อยๆ หลับตาลง นัยน์ตาฉายแววที่ไม่รู้ว่าปล่อยวางหรือตัดใจ และทันใดนั้นนางก็ผ่อนคลายมากขึ้น
พอซูอี้รู้สึกได้ว่าร่างของหญิงสาวในอ้อมกอดอ่อนระทวยแล้วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีเปลวไฟกำลังลามเลียไปทั่วร่าง
มือของเขาโอบกระชับเอวนางแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวและกอดนางไว้ในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น
พวกเขาทั้งสองต่างถ่ายทอดอุณหภูมิผิวกายให้แก่กัน ทว่าไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนถ่ายทอดความเร่าร้อนให้นางหรือเขาจุดไฟนางติดไปด้วยกันแน่ เวลานี้ได้ยินเสียงฝนด้านนอกชัดเจนยิ่งขึ้น และนางก็เริ่มลองจูบตอบเขาแล้ว
ซูอี้คาดไม่ถึงจนอดที่จะตกใจมากไม่ได้และเผลอหยุดชะงักไป
เขาเหมือนตั้งตัวไม่ทัน และแม้จะอยากถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อดูสีหน้าของหญิงสาว แต่เหมือนซื่อหรงจะเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป นางจึงเอียงหน้าและซ่อนใบหน้าไว้ตรงไหปลาร้าของเขา ทั้งยังกอดเขาไว้แน่นและไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ถอยห่าง
กลิ่นกายของผู้หญิงคนนี้เจือจาง ไม่มีทั้งกลิ่นเครื่องสำอางและกลิ่นหอมของดอกไม้ชั้นดี แต่กลับทำให้หลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ข้าอยากจะลืมเขาให้ได้ บอกข้าที ว่าข้าควรจะเดินออกไปอย่างไร?” ซื่อหรงเอ่ยเสียงเบามาก เสียงของนางไม่ได้เข้มแข็งและเยือกเย็นเหมือนอย่างที่เคย และยังสะอึกสะอื้นปนสั่นอย่างช่วยไม่ได้
ซูอี้กอดนางไว้ ริมฝีปากลากผ่านซอกคอของนางพอดี
ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นอยู่รอยหนึ่งที่น่าจะนานพอควรแล้ว ทว่าแค่ดูจากรอยแผลเป็นก็ยังสามารถจินตนาการได้ว่าตอนนั้นคงได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว
ซูอี้รู้สึกปวดใจตามไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก แล้วแลบปลายลิ้นเลียรอยแผลเป็นนั้น
ซื่อหรงตัวสั่นเทิ้มและยิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีกทันที นางกอดแขนเขาไว้แน่นจนตัวแข็งทื่อไปหมด
เวลานี้ริมฝีปากร้อนดั่งไฟของซูอี้ไล่จากซอกคอของนางลงไปเรื่อย
นางไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงที่สวยมากแบบนั้น แต่มักทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตนเองอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เสื้อผ้าร่วงหล่นลงจากไหล่ เขาก็หลับตาลงเช่นกัน และปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการตามธรรมชาติของร่างกาย เขาเล้าโลมร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของนางด้วยริมฝีปากและลิ้น
ชายหนุ่มเอาแต่เงียบ ซื่อหรงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พอเห็นสีหน้าจริงใจปนเอาใจใส่อย่างมากของเขา ในที่สุดนางก็อดที่จะน้ำตาไหลพรากไม่ได้
นางรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น น้ำตาที่ไหลออกมากระเด็นหายไปในเส้นผมที่ไม่เปียกนักอย่างไร้สุ้มเสียง
เสื้อผ้าถูกถอดออกไปทีละชั้น แต่อุณหภูมิข้างกองไฟกลับสูงขึ้นจนน่าตกใจ
ซูอี้จูบแก้มนางอีกครั้ง เขาจูบมุมปากที่อ่อนนุ่มของนาง แล้วเงยหน้าสบตานางด้วยสายตาวาววับ พลางเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าไม่ได้…ถ้าเจ้า…”
ซื่อหรงไม่ตอบอะไร แต่ก้มหน้าลงมา นางแค่วาดปลายนิ้ววนรอบบาดแผลบนหน้าอกเขาและเอื้อมมือมาโอบกอดร่างแกร่งเอาไว้
เมื่อมีร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวแนบชิดอยู่ในอ้อมกอด สุดท้ายความลังเลและไม่สบายใจต่างก็มลายหายไปจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา ซูอี้กอดนางแน่นเช่นกัน เขาคอยวนเวียนจูบหลังบ่าของนางอย่างร้อนแรงอีกครั้ง
ลมหายใจร้อนผ่าว ฝ่ามืออันอบอุ่น กองไฟตรงหน้าส่องสะท้อนเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเคลื่อนไหวสอดประสานกันบนกำแพงฝั่งตรงข้าม
ไม่มีคำพูดหวานหู มีเพียงร่างกายที่อิงแอบแนบชิดกัน เพื่อฉกฉวยความอบอุ่นจากอีกฝ่ายในคืนฝนตกอันหนาวเหน็บเช่นนี้
อาจจะเพราะเจ็บจนถึงที่สุด หรืออาจจะเพราะปวดจนถึงที่สุด จู่ๆ หญิงสาวก็ร้องเรียกเสียงสั่นอย่างไม่สบายใจระหว่างที่กำลังขยับตัวบดเบียดนั้น “ซูอี้…”
ซูอี้ชะงักไปในชั่วพริบตา
เวลานี้เขาเหมือนถูกคนสาดน้ำเย็นใส่ศีรษะหนึ่งกะละมัง จนได้สติคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ เพราะว่า…
ตอนที่เขากำลังเคลิบเคลิ้มอย่างถึงที่สุดนั้น หญิงสาวกลับยังคงครองสติไว้ได้เหมือนเดิม!
คนที่อยู่ในใจนางตอนนี้จะเป็นเขาไปได้อย่างไรกัน? เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ปล่อยใจไปตามอารมณ์ นางรู้ดีมากว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองเลวมาก
แต่ใจจริงแล้วเขาก็อยากจะกอดผู้หญิงคนนี้จริงๆ
ชั่วพริบตานั้นทั้งรู้สึกขมขื่นและพอใจสลับกันนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ยังเลือกที่จะหลอกตนเองและทุ่มเทแรงกายโอบกอดนางมากยิ่งขึ้น…
ในเมื่อนางไม่มีที่ไปแล้ว เช่นนั้นถึงแม้จะเป็นการฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นกำลังลำบากก็ตาม สักวันหนึ่งเขาก็ต้องมีโอกาสเปิดใจนางไม่ใช่หรือ?
“ซื่อหรง!” เขาจูบปากนาง พลางเอ่ยอย่างเร้าอารมณ์ปนหลงใหล แถมยังลูบแก้มนางและยิ้มเล็กน้อย
“เรียกข้าว่าชิงสุ่ย!”
หญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างยกยิ้มมุมปากอย่างเลือนราง
ทว่าหากสังเกตดีๆ สีหน้านั้นเหมือนรอยยิ้มที่กำลังเคลิบเคลิ้มมากจริงๆ แต่นางกลับไม่เคยเอ่ย เพียงแค่เอื้อมมือมาโอบกอดร่างแกร่งเอาไว้และซ่อนใบหน้าลึกลงไปในแผ่นอกที่ร้อนผ่าวของเขา
ด้านนอกเหมือนจะฝนตกปรอยๆ ส่วนในห้องกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ยามฟ้าสาง เสียงฝนหยุดไปแล้ว
ซูอี้เดินไปเปิดประตู
ท้องฟ้ายังไม่สว่างมากนัก เมฆฝนบนท้องฟ้าก็ยังหายไปไม่หมดเช่นกัน เมฆดำยังคงลอยปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
กองไฟในห้องดับไปแล้ว เหลือเพียงสะเก็ดไฟวูบวาบเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนที่เขาไปตักน้ำกลับมา หญิงสาวที่อยู่ในห้องก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ทั้งสองคนต่างเตรียมตัวกันอย่างเงียบๆ หญิงสาวหลบสายตาเขาเหมือนเคอะเขินตลอดเวลา
แม้จะแสดงสีหน้าไม่ชัดนัก แต่ซูอี้กลับสังเกตเห็นเองว่านางรู้สึกกังวล พอเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เขาก็จับมือพานางไปด้วยกัน
ทันใดนั้นซื่อหรงก็เหมือนกับไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นางเงยหน้าอย่างตกใจจนมาสบสายตาเยือกเย็นและอ่อนโยนของชายหนุ่มเข้า แววตาสั่นไหวอย่างยุ่งยากใจ นางกัดริมฝีปากว่า “เจ้า…”
“ไปเถอะ! พวกเราเข้าวังกัน!” ซูอี้เอ่ย
ซื่อหรงตกใจจนมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกไปทันตา ผ่านไปนานมากถึงจะค่อยๆ เอ่ยว่า “เจ้ารู้ดีว่า…”
“ใช่ ข้ารู้!” ซูอี้ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจและไม่รอให้นางพูดจบ
แต่ซื่อหรงกลับถอยหลังไปก้าวหนึ่งและพยายามสะบัดมือเขาออก ทว่านางเพิ่งเห็นว่าเขาจับนิ้วมือไว้แน่นจนไม่มีทางดิ้นหลุดไปได้
ทันใดนั้นความเศร้าพลันผุดขึ้นมาในใจนางอย่างกะทันหัน ในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ถือโอกาสเชิดหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขาเสียเลยว่า “เจ้ารู้ดีว่าข้ามีเจตนาแอบแฝง ถึงแม้จะรู้ดีว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ เช่นนี้…ก็ไม่เป็นไรหรือ?”
——————————————————–