สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 6.1 ปิดปาก (1)
ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าผิดปกติ กำลังจะเอ่ยปากถามขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกรูมาจากด้านหลัง
“ท่านหญิงระวังเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่ยื่นมือไปให้ฉู่หลิงอวิ้นจับเดินออกมาจากห้องผู้โดยสาร สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าสีหน้าของฉู่เยว่หนิงและฮั่วชิงเอ๋อร์เปลี่ยนไป
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถาม แววตาส่องประกายเล็กน้อย ในระหว่างที่พูดอยู่ก็เดินเข้ามา
“เปล่าเจ้าค่ะ…” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ยปากตอบ แต่นางไม่ใช่คนชอบพูดโกหก แค่อ้าปากก็แทบจะหลุดปากพูดความจริงออกไป จึงตัดสินใจปิดปากเงียบไม่พูดเลยดีกว่า
เรือลำตรงข้ามแล่นตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ต่อหน้าฉู่หลิงอวิ้นเอง ฉู่สวินหยางไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก
ส่วนฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา มองไปที่ฉู่เยว่หนิงด้วยสายตาที่รู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
ฉู่เยว่หนิงเม้มปากแน่นสนิท สีหน้าท่าทางแปลกประหลาด ปกติแล้วนางเป็นคนอารมณ์ดี ทว่าตอนนี้กลับทำหน้านิ่ง ดูก็รู้ว่ากำลังฝืนอยู่ ดวงตาเบิกโพลงจ้องเขม็ง ราวกับว่ากำลังปกปิดความลับอะไรเอาไว้อยู่ จากนั้นเบนสายตาหนีจากเรือลำนั้นที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา
มุมปากฉู่หลิงอวิ้นยกขึ้นยิ้ม ดูท่ามีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้วสิ
เมื่อเรือลำนั้นแล่นเข้ามาตรงหน้า
พวกนางหลายคนยืนค้างอยู่ตรงหัวเรือนานจนดึงความสนใจจากผู้คนบนเรือลำนั้น ทุกคนบนเรือลำนั้นต่างยื่นคอชะเง้อมองออกมา เมื่อมองเห็นพวกนางที่ยืนอยู่อย่างชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“โอ้โห วันนี้โชคดีชะมัดเลย ที่มีโอกาสได้พบท่านหญิงทุกคนแบบนี้ ท่านหญิงที่อยู่ข้างๆ ตรงนั้น…ใช่องค์หญิงฮั่วที่เพิ่งกลับเมืองหลวงมาหรือเปล่าขอรับ?”
ฝั่งตรงข้ามนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งในมือถือแก้วสุราพูดจีบปากจีบคอ
ผู้ชายคนนี้ฉู่สวินหยางรู้จัก…
คนคนนี้คือสามีของฉู่เยว่เหยาพี่ใหญ่ของนาง หรือเจิ้งเหวินคัง ซื่อจื่อแห่งจวนผิงกั๋วกงนั่นเอง
สกุลเจิ้งเป็นบ้านฝั่งแม่ของคนแซ่เจิ้งแห่งจวนอ๋องหนานเหอ นั่นก็หมายความว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นมองอีกฝ่าย โดยที่ยังคงมีแม่น้ำกั้นอยู่ นางยิ้มหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน “คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอท่านพี่ที่นี่ บังเอิญจังเลยนะเจ้าคะ”
“ดูท่าน้องสาวอันเล่อมีความสุขดีนะ!” เจิ้งเหวินคังยิ้มแล้วกล่าวตอบ
สองคนทักกันไปทักกันมา จนพูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวไปซะได้
เห็นได้ชัดเลยว่าฉู่เยว่หนิงอารมณ์ไม่ดี นางหันไปคุยกับฉู่สวินหยางว่า “ท่านพี่สามเจ้าคะ ข้าขอตัวเข้าไปในด้านในก่อนนะ ถ้าจอดเทียบท่าแล้วฝากช่วยเรียกข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
พูดจบก็เดินปลีกตัวออกมาจากฝูงชนแล้วเข้าไปด้านในอย่างไม่สนใจใคร
“หนิงเอ๋อร์!” ฮั่วชิงเอ๋อร์รีบเดินตามเข้าไป คว้ามือนางเอาไว้ “ข้าไปด้วย!”
ทั้งสองคนเดินจับมือกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ก็ได้ยินเสียงผู้ชายบนเรือลำนั้นตั้งใจพูดเสียงสูงทักทายขึ้นว่า “นั่นมันท่านหญิงสี่จากวังบูรพานี่หน่า? เฮียจิ่นเซวียน? เฮียจิ่นเซวียน? อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่?”
ฉู่เยว่หนิงจะเข้าไปก็ไม่ได้เข้าสักที สีหน้าเย็นชาขึ้นกว่าเดิม สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ซ่านออกมา
เฮียจิ่นเซวียน? เหยาจิ่นเซวียน? ว่าที่สามีของฉู่เยว่หนิงงั้นรึ?
เมื่อกี้ที่ฉู่เยว่หนิงหน้าตาไม่บอกบุญนั่นเป็นเพราะเห็นหน้าเขางั้นเหรอ?
ทำไมกันเล่า?
องค์ชายแห่งสกุลเหยามีชื่อเสียงเล่าลือดีถมเถไป และทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กรู้เขารู้เราจนหมดไส้หมดพุง มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
ฉู่สวินหยางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ…
เหตุการณ์วันนี้มันไม่ควรที่จะบังเอิญเกินไปแบบนี้
ผู้ชายฝั่งตรงข้ามส่งเสียงร้องไม่หยุด เจิ้งเหวินคังสั่งให้หยุดเรือ ส่วนคนอื่นๆ ก็รีบไปตามหาเหยาจิ่นเซวียนให้ทั่ว
จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นว่า “เอ้านี่ เมื่อกี้ยืนอยู่กันตั้งหลายคน คงไม่ได้มีใครพลาดท่าตกน้ำไปแล้วหรอกมั้ง?”
“โถ พูดอะไรไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย” อีกคนตะโกนด่าขึ้น
ฉู่เยว่หนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกัดฟันไม่ยอมพูด ไม่เพียงแม้แต่จะมองสักนิด
ฉู่หลิงอวิ้นชายตามองนาง แล้วแสดงสีหน้าแสดงความเป็นกังวลออกมา “ล่องเรือกันตอนกลางคืนแบบนี้มันก็อันตรายอย่างที่ว่ากันจริงๆ ถ้าเยว่หนิงไม่สบายใจล่ะก็ เราสั่งหยุดเรือแล้วข้ามไปดูกันดีหรือไม่?”
เหยาจิ่นเซวียนเป็นว่าที่สามีของฉู่เยว่หนิง แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ไม่ว่าอย่างไรถ้าฉู่เยว่หนิงไม่คิดสนใจเขาหน่อยก็คงไม่ได้
แต่ตอนนี้ฉู่เยว่หนิงสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไร ดูท่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
ฉู่หลิงอวิ้นพูดพลางสั่งให้หยุดเรือลง
ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้น เจิ้งเหวินคังเป็นตัวตั้งตัวตีสั่งให้พวกคุณชายที่เหลือเอาไม้มาพาดระหว่างเรือสองลำเอาไว้
เรื่องราวดำเนินมาจนไม่อาจถอยได้อีกแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นขึ้นยืนบนสะพานที่สร้างไว้ชั่วคราว แล้วเดินข้ามไปบนเรือลำนั้น
ตอนนี้เองเหยียนหลิงจวินเพิ่งเดินออกมาจากด้านใน เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็เลิกคิ้วหันไปถามฉู่สวินหยาง “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉู่เยว่หนิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ เห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเยี่ยงนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธ เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา กลั้นหายใจเดินข้ามสะพานไปที่เรือลำนั้น
เจิ้งเหวินคังและคนอื่นๆ บนเรือลำนั้นเห็นการปรากฏตัวขึ้นของเหยียนหลิงจวินก็รู้สึกประหลาดใจ กล่าวทักทายเขาอย่างเป็นมิตร “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าเหยียนหลิงนี่เอง เมื่อครู่พวกเรายังคุยกันอยู่เลยว่าใครกันนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงขนาดมีโอกาสได้ล่องเรือชมทิวทัศน์กับท่านหญิงทั้งหลายน่ะ!”
“ก็แค่เรื่องบังเอิญน่ะขอรับ ข้าแค่เผอิญเจอพวกนางก่อนก็เท่านั้น ถึงได้มีโอกาสมากกว่าพวกท่านน่ะ!”
เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน
ในระหว่างที่พูดตอบอยู่นั้น สายตาและสมาธิทั้งหมดของเขาก็จับจ้องไปบนเรือลำนั้น หันไปส่งสายตาโดยนัยให้ฉู่สวินหยางว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเดินข้ามไปบนเรือลำนั้นอย่างรวดเร็ว พูดคุยกับเจิ้งเหวินคังและคนอื่นอย่างสนิทสนม
แต่ฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งนี้กลับร้อนรนใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่แล้ว ก็รีบกระตุกแขนเสื้อฉู่สวินหยางแล้วกระซิบเสียงเบาอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อครู่นี้ ข้ากับหนิงเอ๋อร์ยืนชมบรรยากาศอยู่ที่หัวเรือ ข้าเห็นองค์ชายเหยาโอบกอดนักร้องเพลงหรือไม่ก็สาวนางโลมเดินเข้าไปในห้องโดยสารเจ้าค่ะ”
ฉู่สวินหยางตกใจ…
เพราะฉะนั้น นี่หมายความว่าจับชู้รักได้คาหนังคาเขาเลยสินะ?
พิธีแต่งงานของฉู่เยว่หนิงกับเหยาจิ่นเซวียนเพิ่งตกลงกันได้เมื่อต้นปีนี้เอง ฤกษ์วันเวลาก็กำหนดไว้แล้ว ถึงแม้การที่ผู้ชายเจ้าชู้มันจะไม่ใช่ความผิดใหญ่โต แต่กระทำการแบบนี้ก่อนงานแต่งงาน ช่างไม่ให้เกียรติแก่ผู้เป็นภรรยาเลยสักนิด
ฉู่สวินหยางเผยแววตาอำมหิตออกมา ปรายตามองผู้คนตรงหน้าด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวโหดเหี้ยม สุดท้ายจ้องไปที่เจิ้งเหวินคังเขม็ง แล้วยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
ฮั่วชิงเอ๋อร์ยังรีบพูดต่อขึ้นอีกว่า “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ? หนิงเอ๋อร์เป็นพวกไม่สู้คน ถ้านางรับไม่ได้ขึ้นมา แล้วนาง…”
ถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้เข้า มันต้องวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน
“ไม่เป็นไร ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ฉู่สวินหยางพูด ส่งสายตาปลอบโยน จากนั้นเดินข้ามไปบนเรือฝั่งตรงข้าม
คนบนเรือลำนั้นหาเขาจนทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ เวลานั้นเองมีคนพูดขึ้นว่า “แปลกจังเลย หาจนทั่วแล้วนะ ไม่เห็นเจอใครเลย คงไม่ได้…”
“พูดอะไรซี้ซั้ว ถ้าก้าวพลาดตกน้ำขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องส่งเสียงให้ได้ยินแล้วสิ” เจิ้งเหวินคังพูดแดกดันขึ้นด้วยความโมโห พูดพลางก็หันมองไปรอบทิศจนสุดท้ายสายตาจับจ้องไปที่ห้องโดยสารด้านล่าง “หรือว่าดื่มหนักเกินไปจนไปหลบอยู่ข้างในนั้น?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ยินเสียงพวกเราแล้วน่าจะส่งเสียงตอบมั่งสิ” คนที่เหลือส่งเสียงเห็นด้วยเออออไปตามกัน
ต่างคนต่างมองหน้าอีกฝ่าย แล้วเผยสีหน้ากังวลออกมา
ฉู่สวินหยางกับฮั่วชิงเอ๋อร์เดินตามเข้ามาทีหลัง พวกคนตรงหน้าก็พูดตัดสินใจไปแล้วว่า “ในเมื่อไม่มั่นใจนัก ก็ไปหาซะก็สิ้นเรื่อง หากคุณชายเหยาดื่มสุราจนเมาไปจริง อยู่บนเรือแบบนี้ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน”
พวกเขาพูดยังไม่ทันจบ นางก็ปลีกตัวออกจากฝูงชนตรงหน้า เดินไปยังผู้โดยสารทันที
ทุกคนรวมถึงฉู่เยว่หนิงต่างอึ้งกับการกระทำนั้น…
คนอื่นเวลาเจอเรื่องพวกนี้ต้องบอกปัดไม่ยอมทำเป็นแน่ แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ใช่ นางกลับเป็นคนวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นคนแรก!
ถึงแม้เจิ้งเหวินคังและคนอื่นจะไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าขอให้หาตัวเขาเจอด้วยเถอะ เลยโบกมือเรียกคนที่เหลือ
“ไปกันเถอะ พวกเราก็ตามไปดูด้วยกัน!”
ฝูงชนเป็นขบวนเดินลงไปที่ห้องโดยสาร
ห้องโดยสารไม่กว้างมากเท่าไรนัก มีแค่สี่ห้องเท่านั้น เดินผ่านระเบียงเข้าไป มองปราดเดียวก็เห็นทั่วทุกมุม
ท่าทางของฉู่สวินหยางทะมัดทะแมงว่องไว นางเดินตรงไปทันทีอย่างไม่รีรอ…
ความรู้สึกนึกคิดของเจิ้งเหวินคังและคนอื่นไม่ซับซ้อน แต่นางกลับคิดเล็กคิดน้อยมากกว่าคนอื่น เมื่อเทียบกับพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ สู้จัดการให้มันจบไวๆ เสียดีกว่า จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจไม่คิดถึงมัน
ถึงแม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์ แต่ทัศนียภาพการมองเห็นในตอนกลางคืนมันก็มีจำกัด การที่ฉู่เยว่หนิงและฮั่วชิงเอ๋อร์
มองเห็นเหยาจิ่นเซวียนที่อยู่บนเรืออีกลำได้อย่างชัดเจนแบบนั้น ก็หมายความว่าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่าไรนัก
หากเหยาจิ่นเซวียนคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะฉะนั้นหากไปหาตอนนี้ก็ยังตามตัวได้ทันอยู่
———————————–