สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 6.2 ปิดปาก (2)
ฉู่สวินหยางดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด นางใช้เท้าเตะเปิดประตูไปสามบานแต่ไม่พบอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงหัวเราะออดอ้อนพูดขึ้นว่า
“ประโยคเมื่อกี้ยังไม่ถูก คุณชายต้องยอมแพ้ แล้วยอมโดนลงโทษแต่โดยดีเลยนะเจ้าคะ!”
“ต้นหลิวหิมะบนเขาท่ามกลาง…ฤดูใบไม้ผลิ สระน้ำ…สระน้ำลำธารไหลผ่านเก้ามณฑล” เสียงของชายหนุ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นด้วยความมึนเมา
“คุณชายท่านเมาแล้วนะเจ้าคะ!” เสียงหัวเราะของหญิงสาวยิ่งส่งเสียงอารมณ์ดีออกมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองทำอะไรกันอยู่ ระหว่างนั้นถึงได้ยินเสียงคล้ายข้าวของกระทบกันดังขึ้นไม่หยุด
ฉู่เยว่หนิงที่ตามมาทีหลัง ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงนั้นเข้า สีหน้าของนางเย็นชาลงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
“อะแฮ่ม…” เจิ้งเหวินคังกระแอมไอออกมา ยกมือไล่คนที่ตามมาทีหลังออกไป “ตรงนี้หาหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ ข้างล่างนี่เล็กจะตาย พวกเราขึ้นไปหาต่อข้างบนเถอะ!”
เสียงดังขนาดนี้ มีแต่คนหูหนวกเท่านั้นแหละที่ไม่ได้ยิน
ปิดบังกันแบบนี้ จะไม่มีได้อย่างไร!
ฉู่สวินหยางแววตาดุดัน ปรายตามองเขา พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เปิดประตูออก!”
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวขานตอบ แล้วเตะประตูบานนั้นเข้าไป
ประตูหล่นลงบนพื้น
“กรี๊ด!” มีเสียงผู้หญิงร้องดังขึ้นจากห้องโดยสารห้องเล็กนั้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายแหลมเล็กว่า “เจ้าเป็นใคร? ทำไมไม่รู้เรื่องเอาซะเลย จู่ๆ มาบุกรุกแบบนี้…”
นางพูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ฉู่สวินหยางก็เดินเข้าไปด้านใน
บนเตียงมีมุ้งสีชมพูปิดกั้นไว้อยู่ เห็นหญิงชายคู่หนึ่งในสภาพกึ่งเปลือยกายนอนกอดกันอยู่ในนั้น
ในวันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ บนร่างกายของหญิงสาวนางนั้นมีเพียงเสื้อบางๆ คลุมไว้ กับเสื้อชั้นในสีมรกต และกระโปรงที่เปิดอ้าซ่าอยู่ เสื้อผ้าถูกดึงออกจนหลุดลุ่ย เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวผ่อง มองแล้วช่างยั่วยวนยิ่งนัก
ส่วนเสื้อคลุมของผู้ชายที่อยู่ด้านข้างก็ถูกดึงออกเช่นเดียวกัน เผยให้เห็นเสื้อสีขาวที่อยู่ด้านใน ใบหน้าแดงก่ำนอนอยู่บนเตียง ปากพึมพำพูดอะไรไม่รู้ออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเมาสุราหนัก ขนาดฉู่สวินหยางพาคนเป็นกลุ่มบุกรุกเข้ามาแบบนี้เขายังไม่รู้สึกตัวเลย ปากยังคงเอาแต่พึมพำกลอนประโยคนั้นวนไปวนมาไม่หยุดหย่อน
ถึงแม้หญิงสาวคนนั้นจะไม่ได้เป็นหญิงสาวผู้ดี แต่เมื่อถูกคนอื่นบุกรุกเข้ามาแบบนี้ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน นางรีบผละออกจากร่างกายของชายผู้นั้น จัดแจงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างร้อนรน แต่ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นก็คือ มือของชายผู้นั้นกลับดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้แน่น นางพยายามจะลุกขึ้น ไม่เพียงแต่จะหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวมใส่ไม่ได้แล้ว ดึงกันไปมาแบบนั้นเลยยิ่งเผยเนื้อหนังให้เห็นมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณชาย ท่านปล่อยมือสิเจ้าคะ…” หญิงสาวผู้นั้นหันไปมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างร้อนรน น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยเสียงสะอื้น
“ไม่เอา…” ชายหนุ่มกลับไม่ยอม สีหน้าขึงขังเอาแต่ใจ “มาต่อกันเถอะ…ต่อไป…ต่อไป…”
พูดออกมาแต่ละคำมีแต่เสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ด้วยฤทธิ์เมา
สองคนนั้นแยกตัวออกจากกันไม่ได้ จึงกึ่งเปลือยกึ่งใส่เสื้อผ้านั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นกับฮั่วชิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ หน้าแดงเขินเบนสายตาหนี
ฉู่เยว่หนิงใจเต้นโครมคราม พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา จากนั้นเบนสายตาไม่มองภาพตรงหน้า
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?” ฉู่หลิงอวิ้นพูดเปิดประเด็น สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“พวก…พวกข้า…” เสียงของหญิงสาวนางนั้นตะกุกตะกัก อับอายจนไม่กล้าโงหัว พูดอธิบายคำใดไม่ออก เงียบอยู่นานสุดท้ายร้องไห้แล้วสะอึกสะอื้นพูดขึ้น “คุณชายเหยาเมาสุราเจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแค่ต้องการช่วยพยุงเขาเข้ามาพักในห้องเท่านั้น แต่เขาเมามากจน…”
นางพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เงยหน้ามองเจิ้งเหวินคังด้วยสีหน้าคาดหวัง “ซื่อจื่อ ข้าน้อยหรูจีไร้ความสามารถ ดูแลได้ไม่ดีพอ ข้า…”
เจิ้งเหวินคังสบถหัวเราะออกมาสองที หันไปมองฉู่เยว่หนิงด้วยสายตาลำบากใจ “ท่านหญิงสี่ดูสิขอรับ คุณชายเหยาเป็นคนคออ่อน ดูท่าเรื่องนี้…น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกระมัง…”
ถึงแม้สองคนนั้นจะยังไม่ได้ทำอะไรกัน แต่สิ่งตรงหน้าที่ทุกคนเห็นก็หาใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นไม่
เกียรติของฉู่เยว่หนิงค่อยๆ โดนหยามเหยียด ใบหน้าของนางค่อยๆ แดงก่ำขึ้น มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แววตาและสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด
สาวนางโลมนามว่าหรูจีผู้นั้นสะดุ้งตอบสนองเล็กน้อย ถึงค่อยรู้สึกตัวได้ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน นางรีบคลานเข่าจะไปคว้าชายกระโปรงขอความช่วยเหลือ “ท่านหญิง…”
ฉู่สวินหยางส่งสายตามองขวับ ชิงหลัวเดินหน้าขึ้นเหยีบกระทืบเท้าลงบนมือขวาที่เอื้อมออกมาของนาง ไม่รอให้สาวนางโลมผู้นั้นแตะต้องโดนชายกระโปรงฉู่เยว่หนิงแม้แต่น้อย แล้วพูดเสียงเย็นชาขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้ายุ่งกับท่านหญิงของข้า?”
สาวนางโลมคนนั้นร้องโอดครวญ เหงื่อผุดออกมาทั่วใบหน้า
เมื่อชิงหลัวเดินถอยออกมา มือขาวเรียวข้างนั้นก็ไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป เจ็บทรมานจนแทบจะสลบเหมือด
เจิ้งเหวินคังเป็นขุนนางสายบุ๋น คิดไม่ถึงเลยว่าข้ารับใช้แห่งวังบูรพาจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ แค่เห็นก็หวาดกลัวขนลุก จึงรีบตะโกนด้วยความโมโหว่า “นางก็เป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ อีกอย่างเรื่องนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก…”
“เป็นแค่ข้ารับใช้ก็ควรรู้กฎเกณฑ์ของคนเป็นขี้ข้า!” ฉู่สวินหยางไม่ปล่อยให้เขาพูดออกมาต่อ “น้องสาวของข้ามีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่คนที่คิดจะหยามกันได้ง่ายๆ วันนี้เจ้าเสียมือไปแค่ข้างเดียว แค่นี้ก็จงจำไว้ให้ขึ้นใจ รู้จักประมาณตนซะบ้าง!”
ผู้หญิงคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่ามีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อกล้ารวมหัวใส่ร้ายผู้อื่นแบบนี้ ถึงนางตายไปก็ไม่เสียดาย
สีหน้าของเจิ้งเหวินคังเหยเกน่ารังเกียจ กำลังจะตวาดโมโห ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อยเดินออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ถึงตอนนี้แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า? คุณชายเหยาก็เหมือนกัน ทำไมถึงได้…”
พูดไปก็อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดต่อให้จบ
เหยียนหลิงจวินยืนพิงวงกบดูละครตรงหน้าอยู่นานพอสมควร ได้ยินนางพูดดังนั้น ถึงได้เบิกตามองแล้วพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “คนเป็นผู้ชายน่ะหรือ? ถึงแม้จะมีอนุภรรยาคนที่สามหรือคนที่สี่ มันก็เป็นเรื่องปกติ คุณชายเหยาก็แค่รักสนุก มีอะไรให้น่าตกใจกันเล่า?”
อย่างไรก็ตามครั้งนี้จับชู้รักได้คาหนังคาเขาอย่างที่ว่า ตอนนี้ก็แค่เถียงกันไปเถียงกันมาเท่านั้น จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กมันก็ไม่เล็ก แต่ถ้าบอกว่าเรื่องใหญ่มันก็ไม่ใหญ่เหมือนกัน
เขาไม่ค่อยสนใจไยดีผู้คน กับเรื่องอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงแม้คำพูดพวกนี้จะพูดขึ้นเพื่อออกความเห็นกับสถานการณ์ตรงหน้า บวกกับแววตากรุ้มกริ่มรักสนุกของเขาแล้วนั้น ดูคล้ายช่างเห็นดีเห็นชอบเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มเย็นชา เลิกคิ้วมองฉู่สวินหยาง
คิดว่าฉู่สวินหยางได้ยินคำพูดพวกนั้นแล้วจะเปลี่ยนสีหน้า…
ถึงแม้นางจะไม่คิดว่าฉู่สวินหยางกล้ามีความคิด ขอคนที่รักนางใจเดียวไปตลอดชีวิตอะไรเทือกนั้น แต่ตอนนี้นางกับเหยียนหลิงจวินกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งลับหลังที่แอบซ่อนอยู่ เมื่อได้ยินชายของตนพูดอะไรพวกนั้นเข้า หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงเก็บเอาไปคิดมากเป็นแน่
ฉู่หลิงอวิ้นมองไปยังฉู่สวินหยางด้วยความรู้สึกที่ต้องการจะปลอบโยน แต่คิดไม่ถึงว่า สีหน้าของนางกลับไม่แสดงให้เห็นถึงความหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย
ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พิธีแต่งงานของคุณชายเหยากับเยว่หนิงใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องนี้ก็หาใช่เรื่องเหมาะสมไม่”
พูดพลางก็ปรายตามองฉู่เยว่หนิงด้วยแววตาสงสาร
นางมองออกทุกอย่างแล้ว เรื่องวันนี้เจิ้งเหวินคังมีเอี่ยวด้วย พวกนั้นต้องการทำลายชื่อเสียงวังบูรพา พวกมันจะทำให้วังบูรพาเสียหน้า
ฉู่สวินหยางต่อกรยาก เทียบกันแล้วฉู่เยว่หนิงนั้นจัดการง่ายกว่ากันมากโข
ขอเพียงแค่ฉู่เยว่หนิงโมโหโวยวายด้วยเรื่องของวันนี้ ถึงตอนนั้นงานแต่งของพวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ท้ายสุดอย่างไรเรื่องวันนี้ก็จะหลุดออกไปให้คนอื่นนินทาได้อยู่ดี
ฉู่สวินหยางกับนางเป็นพวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นต้องลำบากไปด้วยแน่นอน
“นั่นสิ น้องสี่!” ฉู่สวินหยางกล่าว พลางจับมือของฉู่เยว่หนิงเอาไว้ “คำพูดของใต้เท้าเหยียนหลิงมีเหตุผล เจ้าเองก็น่าจะเรียนรู้เอาไว้บ้างนะ”
ฉู่เยว่หนิงอดทนมานาน พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
คนอื่นจะพูดอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้ขนาดฉู่สวินหยางยังพูดแบบนี้?
ในที่สุดความรู้สึกน้อยใจของฉู่เยว่หนิงก็ระเบิดออกมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมา ฉู่สวินหยางบีบมือของนางแน่นขึ้น จากนั้นพูดต่ออีกว่า “ไม่สิ ที่จริงต้องบอกท่านพี่ต่างหากเล่า กล้ามาเทียบชั้นกับว่าที่สามีของท่านหญิงได้เยี่ยงไร? หากท่านพี่เคยให้อภัยกับเรื่องในอดีตของตัวเองได้ แต่กลับมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ท่านพี่ก็คงใจแคบไปหน่อยมั้งเจ้าคะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นอดทนไม่ไหว ใบหน้าบึ้งตึงออกมาทันใด
ฮั่วชิงเอ๋อร์เองก็ทนไม่ไหว เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังชอบใจ
ส่วนฉู่เยว่หนิงที่น้ำตาใกล้จะไหลรินออกมา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกสะใจสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกโกรธโมโหนั้นเป็นของจริง แต่หลายปีมานี้ฮูหยินใหญ่สั่งสอนนางไว้อย่างดี ทำให้นางเคารพและภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก
นางไม่ใช่คนโง่ เรื่องวันนี้แค่มองก็รู้ว่าสาวนางโลมคนนี้ถูกจ้างมาแสดงละคร นางโมโหจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่ตอนนี้หายดีแล้ว แล้วยังรู้สึกดีว่านางไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำพวกนั้น
“ข้าไม่จำเป็นต้องใจแคบเยี่ยงนั้นหรอก มันก็แค่…ของเล่นเท่านั้นแหละ!” ฉู่เยว่หนิงกล่าวน้ำเสียงดุดัน อกผายไหล่ผึ่ง ชายตามองหรูจีที่หดตัวสั่นเป็นก้อนกลมด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
ยิ่งทำให้หรูจีหน้าซีดเผือดลงไปอีก
ฉู่สวินหยางหันไปสั่งชิงหลัวว่า “ดูท่าพวกเจิ้งซื่อจื่อยังอยากล่องเรือเล่นกันต่อ คุณชายเหยาเมาแอ๋อยู่แบบนี้ เจ้าไปเรียกเจี่ยงลิ่วมาให้ช่วยพยุงตัวเขาไปบนเรือของเราเถอะ ตอนนี้เวลาก็ดึกมากแล้ว พวกเราเองก็ควรกลับจวนได้แล้วเหมือนกัน”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงหลัวขานรับคำสั่ง
ฉู่หลิงอวิ้นโดนตอกหน้าหลายต่อหลายครั้ง เจิ้งเหวินคังเองก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี
ฉู่หลิงอวิ้นกลายเป็นตัวตลกที่ถูกพูดถึงในวงสนทนา ทำให้ไฟโกรธแค้นในใจของนางแผ่ซ่านกระจาย นางทำหน้าหน้าบึ้งตึงขึงขัง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป “ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับแล้วเช่นกัน!”
———————————-