สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 61.4 สาวงามอยู่ในอ้อมกอด และสถานการณ์อันตรายรอบด้าน (4)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2
- บทที่ 61.4 สาวงามอยู่ในอ้อมกอด และสถานการณ์อันตรายรอบด้าน (4)
ขบวนขององค์รัชทายาทหนานฮวาไล่ตามไปจนถึงสุดทาง เมื่อออกมาจากป่าใหญ่ก็เห็นร่างของหญิงสาวนั่งหันข้างอยู่ริมหน้าผา ชายกระโปรงโบกสะพัดปกคลุมหินผาเป็นวงกว้าง นางหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนใหญ่ จากนั้นก็โยนเข้าไปในสายน้ำลำธารที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับว่าต้องการฟังเสียงของหินที่ตกกระทบเพื่อประเมินความลึกของสถานที่นั้น
แต่น่าเสียดายที่หินพวกนั้นเล็กไป เมื่อโยนมันลงไปก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทหนานฮวาวิ่งวนอยู่ในป่ามาครึ่งค่อนวันจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก บวกกับความโกรธแค้นที่อดกลั้นไว้อยู่ เมื่อเห็นนางนั่งสบายใจเฉิบอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งโมโหขึ้นมาทันใด พลางตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ? เจ้าคิดอยากจะเล่นอะไรอีก?”
“ไม่อยากหนีแล้วน่ะ ข้าอยากเชิญองค์รัชทายาทมาดูละครฉากเด็ดด้วยกันหน่อย” ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองเขา
ใบหน้าของชายหนุ่มไม่สบอารมณ์ จ้องมองนางเขม็งด้วยแววตาเกลียดชังระคนโมโห พลางพูดขึ้นเสียงเย็นชาว่า “ดูละครอะไร? เจ้าตั้งใจจะทำเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรอีกกันแน่? เจ้าคิดว่าข้าจะตกหลุมพรางของเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่างั้นรึ?”
“ถึงแม้จะไม่ตกหลุมพรางของข้า พวกเราก็ถึงเวลาอันควรที่จะกลับได้แล้ว คนอย่างข้ารู้เวลาดีว่าเวลาไหนควรทำสิ่งใด ในเมื่อองค์รัชทายาทต้องการตัวข้านักล่ะก็ ข้าเองก็คร้านที่จะเปลืองแรงไปเสียเปล่าแล้วเช่นกัน” ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วพูดตอบ นางพักผ่อนมาจนพอใจก็ปัดกระโปรงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามา “ชีวิตของข้าสำคัญขนาดนี้ ท่านคงไม่คิดจะจัดการข้าที่นี่หรอกใช่ไหม?”
ความโกรธแค้นในใจของชายหนุ่มพลุ่งพล่าน แต่เมื่อเห็นนางทำตัวไม่รู้ร้อน ไม่นึกเกรงกลัวสิ่งใดเช่นนั้นกลับยิ่งโมโหแต่ไม่มีที่ให้ระบายออกมา แววตาสลับสับเปลี่ยนมืดมนส่องสว่างอยู่นาน สุดท้ายก็เงียบเสียงพูดอะไรไม่ออก
ฉู่สวินหยางเบิกตามองอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ส่งเสียงใดกลับมา ก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดขึ้นว่า “ทำไม ท่านไม่วางใจหรือ ต้องมัดตัวข้าไว้ถึงจะยอมสินะ?”
นางพูดพลางเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว อ้าสองแขนออกอย่างให้ความร่วมมือ
ตอนนี้เขาไม่มีทางสังหารฉู่สวินหยาง การที่เขาฆ่านางไปไม่เป็นผลดีกับเขาเลยสักนิด แถมจะยิ่งทำให้ฉู่ฉีเฟิงโมโหอีกต่างหาก
ในทางกลับกันแล้วหากเขาเก็บนางไว้ในกำมือก็จะสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้
ฉู่สวินหยางเบ้ปากแล้วก้าวขาเดินเข้าไปหาอย่างใจเย็น ทหารองครักษ์จ้องนางตาเขม็ง ป้องกันอารักขาอย่างระมัดระวัง
ฉู่สวินหยางยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี เดินตามหลังองค์รัชทายาทหนานฮวาอย่างเชื่อฟัง เดินไปได้เพียงสองก้าวนางก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “องค์รัชทายาท ท่านยังมีกำลังคนในมืออีกหรือเปล่าเจ้าคะ?”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าปรายตามองนางอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไม่แม้นพูดตอบ
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วน นางยังคงหันมองดูบรรยากาศรอบทิศอย่างสบายใจ พลางพูดขึ้นอย่างไม่สนใจอะไรว่า “เรื่องเกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว ข่าวคราวที่ข้าหลบหนีจากเงื้อมมือท่านได้คงถูกส่งไปถึงเมืองฉู่แล้วกระมัง? องค์รัชทายาทเก็บข้าไว้ในกำมือเพราะหวังผลประโยชน์อื่น แต่ว่า…”
นางพูดอยู่ดีๆ ก็หยุดพูดเสียดื้อๆ จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างทุกข์ใจก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “เกรงว่ามีใครบางคนไม่อยากเห็นข้ามีชีวิตรอดจากที่นี่ไปได้ ท่านมั่นใจใช่ไหมว่าคนของท่านจะอารักขาข้าได้แน่น่ะ?”
เดิมทีชายหนุ่มไม่คิดอยากจะสนใจนาง แต่ในเวลานั้นเมื่อได้ยินนางพูดดังนั้นเข้าก็หยุดฝีเท้าลง ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้…
ก่อนหน้านี้เขาทำไปเพราะอารมณ์ คิดอยากแต่จับนางทั้งเป็นให้ได้ ในระหว่างที่เร่งรีบอยู่นั้นกลับลืมไปว่าตนเข้าใกล้เมืองฉู่มามากขนาดนี้แล้ว
ฉู่สวินหยางเห็นเขาหยุดฝีเท้าลง นางจึงยิ้มออกมาอย่างประทับใจ เดินไปหยุดยืนตรงเบื้องหน้าอีกฝ่าย จ้องมองใบหน้าของเขาแล้วกล่าวว่า “ในสายตาขององค์รัชทายาทแล้ว ข้ามันก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือของท่านเท่านั้นเอง เป็นเหยื่อในกำมือของท่านที่สามารถใช้มันมาหลอกล่อต่อรองพี่รองของข้าได้ แต่สำหรับพันธมิตรทั้งหลายของท่านแล้ว…การที่ข้ามีชีวิตอยู่ต่อมากขึ้นอีกสักหนึ่งวินาที นั่นเท่ากับว่าชีวิตของพวกเขาก็จะได้รับอันตรายมากขึ้นเช่นกัน การกระทำแบบนี้มันช่างอันตรายเหลือเกินนะเจ้าคะ”
“เจ้ารู้รึว่าเขาเป็นใคร?” องค์รัชทายาทหนานฮวาหลุดปากพูดอย่างแปลกใจ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วถึงค่อยรู้สึกตัวว่าตนเสียการควบคุม จนหน้านิ่งค้างแข็งทื่อ
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ฉู่สวินหยางกล่าวพลางเชิดหน้าขึ้น ท่าทางหยิ่งผยองไม่เกรงกลัว “ข้าไม่ได้โง่หรอกนะ อีกอย่างข้าเป็นคนแค้นฝังหุ่น นิสัยอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเราเป็นศัตรูกัน ท่านคิดจะใช้วิธีสกปรกอะไรนั่นก็คงไม่สำคัญเพราะจุดยืนเราต่างกัน แต่ในบรรดาคนของแคว้นซีเยว่กลับมีคนต้องการจัดการข้าอย่างเปิดเผยเยี่ยงนี้ เรื่องนี้มันทำให้ข้าทนไม่ได้ เขาคนนั้นคงน่าจะรู้ตัวดีอยู่แก่ใจ”
แววตาของชายหนุ่มดำมืด จ้องมองนางอย่างไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่
ทว่าฉู่สวินหยางยังคงเผยรอยยิ้มเป็นมิตรร่าเริงแจ่มใสออกมา ไม่มีแม้แต่ความกังวลและหวาดกลัวให้เห็นเลยสักนิดเดียว ราวกับว่าคนที่ตกอยู่ในภยันตรายตรงหน้าคนนั้นไม่ใช่ตัวนางเลยด้วยซ้ำไป
องค์รัชทายาทหนานฮวาจ้องหน้านางอยู่นาน สุดท้ายก็เผลอหัวเราะกร้านออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาจ้องมองแววตาของนาง แล้วค่อยๆ พูดทีละคำอย่างชัดเจน “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะคุ้มครองเจ้า?”
ดวงตาของฉู่สวินหยางสดใสส่องประกาย มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แล้วแต่ท่านเถิด! พวกเขามาถึงแล้ว องค์รัชทายาทลองปรึกษากับพวกเขาดูก็ได้เจ้าค่ะ ลองดูว่าจะใช้ตัวข้าเป็นเชลยเพื่อบีบบังคับพี่รอง หรือจะใช้ศีรษะของข้ามอบให้กับคนที่ท่านเคยร่วมมือด้วยคนนั้นเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ อันไหนคุ้มกว่ากันก็ลองดูแล้วกันเจ้าค่ะ!”
เสียงของนางพูดยังไม่ทันจบ ชายหนุ่มตรงข้ามก็ถอนหายใจขึ้นอย่างทุกข์ใจขึ้นมา
ภายในป่าใหญ่มีเสียงฝีเท้าเร่งตามเข้ามาอย่างรีบร้อน ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนชุดดำราวๆ ยี่สิบกว่าคนบุกเข้ามาจัดการสังหารกำแพงมนุษย์ที่ขวางทางเดินต่อไปข้างหน้าจนสิ้นชีพไม่เหลือ
ก่อนหน้านี้ทรยศหักหลังแล้วโยนโทษให้เขารับผิด ส่วนตอนนี้ก็มาฆ่าคนปิดปากงั้นหรือ?
ได้! ให้ได้แบบนี้สิ!
ฉู่สวินหยางกะพริบตา จากนั้นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
——————————————