สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 62.3 ร่วงหล่น (3)
ฉู่ฉีเหยียนในตอนนี้เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มที่เพิ่งอายุได้สิบแปด ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากับสีหน้าเด็ดเดี่ยวนั้น ช่างเหมือนกับคนในความทรงจำของนางมากเหลือเกิน ราวกับว่าเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เขาควรจะเป็นคนสุขุมนิ่งลึกเยี่ยงนี้ต่างหาก
เมื่อชาติที่แล้วนางเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนรู้ใจ ระหว่างพวกเขาสองคนก็ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง แต่ตอนนี้พอมาสังเกตดูฉู่สวินหยางถึงค่อยค้นพบว่า…
นางไม่เคยเห็นรอยยิ้มผ่อนคลายสบายใจบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ใบหน้าของเขามันช่างสมบูรณ์แบบ ควบคุมคงสภาพไว้ได้อย่างไร้ที่ติ ไม่เผยให้เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ซึ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และก็ไม่มีทางเดาออกได้ว่าว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อไป
และอาจเป็นเพราะดูไม่ออก ทำให้ชาติที่แล้วนางพ่ายแพ้ให้แก่เขายับเยินขนาดนั้น สูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขที่รักสุดหัวใจไปถึงสองคนด้วยน้ำมือของเขา
และอาจเป็นเพราะมองไม่ออกเช่นเดียวกัน…
ในสถานการณ์แบบนี้วินาทีนี้ที่เขาทอดทิ้งสมรภูมิการสู้รบไปโดยไม่คิดสนใจ แล้วกลับโผล่มาที่นี่
ฉู่สวินหยามองใบหน้าเย็นชาเด็ดเดี่ยวด้านข้างของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
แต่วินาทีต่อไปหลังจากนั้น มืออีกข้างหนึ่งของนางก็ถูกคนกระชากอย่างแรง
ฉู่สวินหยางหยุดฝีเท้าลง
ฉู่ฉีเหยียนหันไปมองตาขวาง จากนั้นก็สบตาเข้ากับแววตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้มขององค์รัชทายาทหนานฮวาพอดี
แท้จริงชายคนนี้มีดวงตารูปทรงดอกท้อ หากยิ้มขึ้นมาจริงๆ คงน่าหลงใหลมีเสน่ห์มากเหลือเกิน แต่น่าเสียดาย…
ตั้งแต่ตอนที่ได้พบกันครั้งแรกตอนนั้น ฉู่สวินหยางก็เอาแต่ยั่วโมโหเขาหลายต่อหลายครั้ง จึงเห็นแต่ช่วงเวลาที่เขาอารมณ์เสียอย่างเดียว
ทั้งสามคนดึงกันไปดึงกันมาภายใต้การฟาดฟันจนหยุดการกระทำลงทั้งหมด
แววตาองค์รัชทายาทหนานฮวาทอประกายขึ้นเล็กน้อย หางตาชี้ขึ้นยิ้มเยาะเย้ยเดินหมุนรอบตัวอีกสองคนที่เหลือ สุดท้ายสายตานั้นก็จับจ้องไปที่มือของฉู่ฉีเหยียนที่จับข้อมือของฉู่สวินหยางไว้อยู่นั่น แล้วพูดประชดประชันว่า “ดูท่าเรื่องที่คนอื่นเขาร่ำลือกันอาจจะไม่เป็นเรื่องจริงสินะ ใครบอกกันนะว่าจวนอ๋องหนานเหอกับวังบูรพาไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ? ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอดูท่าจะเอ็นดูน้องสาวท่านหญิงสวินหยางคนนี้มากเลยนะขอรับ!”
ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะไม่อยากยอมรับว่าการมาฉู่ฉีเหยียนครั้งนี้เป็นเพราะนาง แต่ในเวลานี้นางหมดอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว จึงเลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ศัตรูอยู่ตรงหน้าอย่างไรก็ต้องร่วมมือสู้ไปด้วยกัน”
เมื่อพูดจบฉู่สวินหยางก็พลิกข้อมือ สะบัดมือขององค์รัชทายาทหนานฮวาที่จับข้อมือของตนออก จากนั้นนางจึงฟาดดาบใส่คนชุดดำที่กำลังจะบุกโจมตีเข้ามาจนอีกฝ่ายถอยจากไป แล้วหันไปพูดกับฉู่ฉีเหยียนว่า “เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พวกเราไปกันก่อนเถิด!”
ฉู่ฉีเหยียนไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ยกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีของศัตรู
องค์รัชทายาทหนานฮวาที่ถูกนางสะบัดออกจนตัวเซอยู่ด้านหลัง ก็เกือบจะถูกคนชุดดำแทงดาบใส่จนได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าของเขามืดมนลงจนแทบจะเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง จ้องร่างคนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นตาเขม็ง แววตานั้นเต็มไปด้วยแรงอาฆาตรุนแรง เมื่อเขาออกแรงโจมตีพวกคนชุดดำพวกนั้นอีกครั้ง มันก็โหดเหี้ยมกว่าที่ผ่านมาเยอะมากนัก
คนชุดดำพวกนั้นต่างไม่กล้าฝืนคำสั่ง พวกเขาต่างมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ไม่เหลือช่องทางให้ถอยแม้แต่น้อยเอาแต่ไล่ตามพวกนางอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ฉู่สวินหยางและคนอื่นที่เหลือเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ท่านมาได้อย่างไร? แล้วการสู้รบข้างหน้านั้นเล่า…” ระหว่างที่ยุ่งชุลมุนอยู่ ฉู่สวินหยางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
“หลี่หลินคอยดูอยู่” ฉู่ฉีเหยียนตอบเสียงทุ้ม “คนพวกนี้เตรียมการมาก่อน พวกมันยังมีพรรคพวกที่แอบซ่อนอยู่แน่ เพราะงั้นรีบหาวิธีหนีออกจากตรงนี้ให้ได้ก่อน”
เขาเป็นคนที่มีไหวพริบสูง มาถึงแค่เพียงชั่วครู่เดียวก็มองเบื้องลึกที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน
ในเมื่อ…
หลังจากที่เขาและฉู่ฉีเฟิงได้รับคำสั่งให้มายังเมืองฉู่ สถานที่แถบนี้ก็เกิดเรื่องประหลาดอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ถึงแม้เป้าหมายของพวกเขาจะไม่เหมือนกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ต่อกรสู้รบกับข้าศึกอย่างสุดฝีมือ แต่มันก็เป็นอย่างที่ฉู่ฉีเหยียนกล่าวไว้ พวกนั้นยังมีพรรคพวกที่ตามมาสมทบได้อีกมากโข ทางด้านนี้พวกเขาเองก็ถูกรุมล้อมจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นมาจาอีกฟากฝั่ง ตามมาด้วยกองทัพคนและม้าเป็นขบวน
พวกเขาที่ถูกล้อมอยู่นั้นต่างหน้าถอดสีอย่างพร้อมเพรียงกัน
การต่อสู้อันโหดร้ายครั้งนี้ ทำให้พวกเขาสูญเสียแรงพลังงานไปมาก แถมกองหนุนของอีกฝ่ายก็มาถึงที่นี่แล้ว หากดึงดันที่จะสู้ต่อไปคงเหลือเพียงแค่ความตายอย่างเดียว
พวกเขาสามคนไม่ใช่ผู้กล้าใช้พละกำลังตัดสินปัญหาสักคน ต่างฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องแม้แต่จะปรึกษา พวกเขาถือโอกาสตอนที่กองหนุนของฝ่ายตรงข้ามยังมาไม่ถึงรีบฝ่าออกไปข้างนอกให้มากที่สุด ฆ่าฟันจนเลือดไหลรินเป็นทางยาว จากนั้นวิ่งเข้าไปในป่าลึกนั่นอีกครั้ง
“รีบตามเข้าไปเร็ว อย่าปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” คนด้านหลังรีบแผดเสียงตะโกนขึ้นอย่างโมโหร้อนรน
ใบหน้าฉู่สวินหยางกระตุกเล็กน้อยพลางพูดเตือน “ทางด้านหน้ากับทางซ้ายไม่มีทางไป พวกเราไปทางขวา!”
ด้านหน้าเป็นหน้าผา ส่วนทางซ้ายเป็นทางตัน และทั้งด้านหลังยังมีทหารจำนวนมากโขไล่ตามมาเป็นห่าใหญ่ สถานการณ์ตอนนี้มันลำบากลำบนยิ่งนัก
พวกเขาเปลี่ยนทิศทางการวิ่ง แต่เมื่อวิ่งออกมาได้ไกลพอสมควร พวกคนชุดดำที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างเข้า
“พลธนู พวกเจ้าทุกคนยิงลูกศรล้อมพวกมันไว้จากด้านหลัง ปิดกั้นทางเดินต่อของพวกมันเอาไว้!” มีคนตะโกนขึ้นสั่งการเสียงดัง
ฉู่สวินหยางได้ยินเข้าก็โมโหเป็นอย่างมาก หยุดฝีเท้าลงหันไปมองในทันที แต่เมื่อกำลังจะพูดอะไรเข้า ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากด้านหลังดังขึ้นอีก
ด้วยความที่สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกคนต่างหันไปมองอย่างระมัดระวังเป็นตาเดียว
ทว่ากลับเป็นคนสองกลุ่มที่ไล่ตามขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
หลี่เหวยพาทหารองครักษ์หนานฮวามาอยู่ด้านหน้า ส่วนเจี๋ยหงเองก็พาพรรคพวกที่เหลืออยู่ตามมาอยู่ด้านหลัง
“องค์รัชทายาท!”
“ท่านหญิง!”
เมื่อฉู่สวินหยางเห็นเจี่ยงลิ่วอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับคนที่เจี๋ยหงพามาด้วย นางก็วางใจรีบเดินเข้าไปหาแล้วพูดว่า “ท่านพี่เล่า? เขาสบายดีใช่ไหม?”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วพยักหน้า ทว่าเจี๋ยหงกลับเป็นคนที่เอ่ยตอบแทนเขา “ท่านจวิ้นอ๋องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ แต่เขาคิดว่าท่านหญิงยังอยู่ที่สมรภูมิรบ เขาเลยพาคนตามไปที่นั่นแล้ว ตอนนี้เฉี่ยนลวี่ไปส่งข่าวให้เขาทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่ฉีเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย นี่ก็คือจุดพลิกผันที่ไม่จำเป็นต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ทว่าหลี่เหวยกลับทำหน้าบึ้งตึงจ้องฉู่สวินหยางเขม็ง พลางกดเสียงทุ้มต่ำพูดรายงานกับองค์รัชทายาทหนานฮวาว่า “องค์รัชทายาทขอรับ ตอนนี้ที่ค่ายทหารของเราเกิดไฟลุกไหม้ เพลิงลุกลามเผาไหม้กระโจมจนเสียหายไปสิบกว่าหลังเชียวขอรับ รองแม่ทัพเหยียนเป็นคนส่งข่าวมาบอก”
ในหนึ่งวันนี้ทั้งวันพวกเขาถูกโจมตีกระหน่ำใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ถึงคราวนี้แม้ว่ามันจะเกิดเรื่องยิ่งใหญ่คับฟ้ามากเพียงใด องค์รัชทายาทหนานฮวาเองก็แทบจะเฉยชาไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำได้เยี่ยงไร แต่มันต้องเป็นฝีมือของคนเจ้าเล่ห์อย่างฉู่สวินหยางคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
ใบหน้าของเขาดำถมึงทึง เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นพ่นคำออกมาอย่างขึงขัง
“กลับค่ายทหาร!”
—————————-