สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 63.3 ขอร้อง ปล่อยมือเถอะ (3)
มีดสั้นเล่มนั้นรับน้ำหนักได้เท่าไร เหยียนหลิงจวินรู้ดีแก่ใจ
เขามองมือน้อยที่ยื่นส่งให้อย่างมั่นคง มุมปากก็เผยรอยยิ้มอิ่มใจ แล้วยื่นมือออกไปลูบนิ้วมือนางเบาๆ
แต่ตอนที่ฉู่สวินหยางกำลังดึงเขา เขากลับออกแรงต้าน ก่อนจะลากมือนางไปชิดริมฝีปาก จูบลงที่กลางฝ่ามือ
สัมผัสอ่อนโยนเบาแผ่วที่เจือความอุ่นชื้น ค่อยๆ ซึมซาบจนไปถึงกลางอก
หัวใจของฉู่สวินหยางเต้นไม่เป็นจังหวะ นางพยายามสุดแรงที่จะพลิกข้อมือแล้วจับมือเขาไว้ ทว่าแรงมีไม่มากพอ
นาง…
ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!
“สงครามยังไม่สงบ ไม่รู้พี่ชายของเจ้าจะมาถึงเมื่อไร อีกเดี๋ยวเจ้าอย่าขยับมาก มีดนั่นมันไม่ได้มั่นคงสักเท่าไรหรอก” เหยียนหลิงจวินยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง
ตัวเขาเองกลับห้อยแขวนอยู่แบบนั้น มองดูแล้วน่าเวทนายิ่ง
หากเป็นเวลาอื่น ฉู่สวินหยางคงแกล้งแหย่เขาเล่น แต่ตอนนี้เมื่อได้มองหน้าเขาชัดๆ น้ำตาพลันรื้นขึ้นมาอีก
“พวกเรารอด้วยกันนะ รอพี่รองของข้ามาช่วย” ฉู่สวินหยางบอก กลั้นเสียงไม่ให้ปล่อยโฮออกมา แต่น้ำตากลับร่วงเป็นทาง ก่อนจะถูกสายลมพัดหาย ไม่รู้ไปตก ณ แห่งหนใด
“ข้าก็อยากอยู่!” เหยียนหลิงจวินถอนหายใจยาวพลางยิ้มขื่น หันกลับไปมองต้นสนเตี้ยด้านบนที่สั่นไหวและรากที่ใกล้จะหลุดออกมาเต็มแก่ น้ำเสียงยังผ่อนคลายและเนิบนาบ “ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวข้าคงต้องลงไปก่อน ถึงเวลาเจ้าต้องห้ามลืมให้คนตามหาข้าล่ะ!”
กระแสน้ำด้านล่างนั้น กระทั่งแม่น้ำที่เชี่ยวกรากที่สุดอย่างจ้าวธารก็ยังเทียบไม่ติด หากว่าตกลงไป ผลลัพธ์เป็นอย่างไรนางยังไม่กล้าคิด
แม้นางจะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย กระทั่งก่อนหน้านี้ที่นางตกลงมาก็ยังพอจะมีความหวังเล็กๆ อยู่บ้าง ทว่าบัดนี้…
ในใจนางมีเพียงความหวาดหวั่นและสิ้นหวังอย่างไร้ที่สิ้นสุด
นางพยายามทำทุกทางที่จะพลิกมือไปคว้านิ้วของเหยียนหลิงจวิน เขาเองก็รู้ทันแผนของนาง จึงได้ออกแรงกำนิ้วของนางแน่น ไม่เปิดโอกาสให้แม้แต่นิดเดียว
ฉู่สวินหยางลองอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้ผล หัวใจไม่อาจต้านทานความหวาดกลัวที่ไหลทะลัก จึงตวาดเสียงใส่ด้วยความโกรธเคือง “ถ้าเจ้าตกลงไป ข้าจะไม่ตามหาเจ้า ใครจะไปรู้ว่าข้างล่างมันมีอะไร?”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินได้ยินก็หัวเราะ น้ำเสียงแหบต่ำฟังแล้วดูอารมณ์ดีอยู่หลายส่วน
เขาลูบไล้นิ้วที่อยู่ในกำมือเขาเบาๆ เอ่ยว่า “ก็ไม่เป็นไร! เจ้าลืมแล้วรึ ข้าอยู่แถวนี้ตั้งแต่เด็กๆ ต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ข้าล้วนรู้จักทุกซอกทุกมุม ต่อให้เจ้าไม่ตามหาข้า…”
จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็หายไป
เบื้องหน้าของฉู่สวินหยางเป็นภาพพร่ามัว ท่ามกลางความเลือนรางนางมองเห็นมุมปากที่ยกขึ้นอย่างแข็งทื่อของเขา
นางหยุดน้ำตาเอาไว้ หัวใจก็บีบรัดแน่น แม้แต่ลมหายใจก็ยังสะดุด
วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงของเหยียนหลิงจวินเอ่ยราวกับไม่มีอะไร “เดี๋ยวข้าลงไปก่อน กลับไปแล้วเจ้ารอข้าก่อนนะ!”
ร่างของเขาค่อยๆ เลื่อนลงไปอีก ฉู่สวินหยางต้องก้มหน้าลงถึงจะมองเห็นใบหน้าเขา
น้ำตานางไหลพราก ร่วงหล่นลงเป็นสาย พอถูกลมพัดไป ก็กระจายเป็นเม็ดน้อยๆ หยดใส่หน้าของเหยียนหลิงจวิน
นัยน์ตาของเหยียนหลิงจวินพลันเข้มขึ้น…
เขาไม่อาจทนมองสายตาวิงวอนและน้ำตาที่สิ้นหวังของนางได้เลย
ซินเป่าของเขาควรจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เสพสุขอยู่ท่ามกลางเกียรติยศ เป็นสตรีสูงส่งให้ผู้อื่นแหงนหน้ามองด้วยความชื่นชม เขาชอบเห็นนางโอหังและคอยเที่ยวระรานผู้อื่น ต่อให้นางจะร้ายกาจและไร้ความรู้สึกเพียงใด เขาก็ยังมองแล้วเป็นสุขกว่าตอนนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางร้องไห้น้ำตาท่วมเช่นนี้ แต่เขากลับไม่มีโอกาสได้ปลอบใจนางเลยสักนิด
“อย่าร้องเลยนะ” ร่างของเขากำลังไหลลงไปเรื่อยๆ ยื่นมือออกไปก็เอื้อมไม่ถึงใบหน้านางแล้ว จึงได้แต่เอ่ยเสียงต่ำด้วยความอาลัย
“ข้า…” ฉู่สวินหยางอ้าปากพูด พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อออกมาอีกครั้ง ก้มหน้ามองเขาด้วยแววตาที่รวดร้าว
“เด็กดี!” เหยียนหลิงจวินยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นสว่างไสวเฉิดฉายกลางแสงตะวัน ให้คนรู้สึกเหมือนดั่งกุหลาบที่งามเลิศ
“รอข้านะ!” เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน ทั้งอ่อนหวานและหนักแน่น
นิ้วมือที่เกี่ยวกันพลันหลุดออก สัมผัสสุดท้ายที่ปัดผ่านผิวคือความนุ่มนวลและอบอุ่น ดั่งทรายเม็ดเล็กๆ ที่เสียดสีกลางใจ มันเจ็บแปลบอย่างไม่เคยเป็น
ฉู่สวินหยางพยายามเบิกตามอง นางต้องการเห็นดวงหน้าของบุรุษผู้นั้นให้ชัดเจนที่สุด แต่น้ำตากลับเอาแต่ทะลักออกมาอย่างน่าโมโห มันบดบังภาพเบื้องหน้าจนมืดมิด นอกจากคราบน้ำตาที่เป็นเงาตะคุ่มๆ แล้ว นางก็มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง
นางอยากกรีดร้อง อยากตะโกนเรียกชื่อของเขา แต่กลางอกเหมือนมีบางอย่างกดทับ แม้เสียงยังเค้นออกมาไม่ได้
นางได้แต่กัดปากไว้แน่น กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ
น้ำตาเม็ดโตร่วงเป็นสาย พร้อมๆ กับหยดเลือดจากริมฝีปากล่างซึ่งหล่นหายและปลิวไปกับสายลม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร รอจนความรู้สึกที่พังทลายหายไปอย่างช้าๆ คราบน้ำตาบนใบหน้าของฉู่สวินหยางก็ถูกลมพัดจนแห้ง ภาพเบื้องหน้ากลับมาแจ่มชัด จมูกยังได้กลิ่นของไอน้ำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ท้องฟ้าเบื้องบนยังเป็นสีคราม ดวงอาทิตย์ก็ยังเจิดจ้าส่องแสง
ขอบฟ้ากว้างสุดลูกตา แต่ก็ยังมีภูผาและแม่น้ำกั้นขวางอยู่
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนเป็นภาพฝันเลือนราง ไร้หลักฐานยืนยันความเป็นจริงที่มีอยู่
แต่ความว้าวุ่นในใจ…
ต่อให้ท้องฟ้าจะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่ก็เหมือนขาดหายอะไรไปบางอย่าง ในสายตาและในหัวใจจึงเห็นเป็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ฉู่สวินหยางเม้มปากแน่น ริมฝีปากที่ถูกลมพัดจนแห้งจึงปริแตก จมูกจึงได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ
ร่างของนางแขวนอยู่บนหน้าผา ผนังหินแข็งเย็นที่ด้านหลังถูกไอร้อนจากร่างกายนางแผ่ใส่จนอุณหภูมิสูงตามไปด้วย
นางเงยหน้าขึ้นไปมอง
ตำแหน่งที่นางอยู่ห่างจากยอดผาเป็นระยะหนึ่งในสามของความสูงทั้งหมด แต่หน้าผานี้ทั้งสูงและชัน นางจึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านบนและไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเบนสายตาขึ้นไปมอง ก็เห็นสายรัดเอวสีเขียวอ่อนเส้นนั้นได้อย่างชัดเจน…
เขาเข้าใจนาง ทั้งยังจัดการและวางแผนที่ดีที่สุดให้นางอย่างรอบคอบ
นางไม่รู้ว่าตัวเองจมอยู่กับความเลื่อนลอยไร้สตินานเท่าไร ตอนนี้มือที่ควรจะจับบนด้ามมีดก็คลายออกเสียแล้ว ทั้งตัวคนมีเพียงสายรัดเอวเส้นนั้นที่ผูกห้อยไว้กลางหน้าผา
ลมภูเขาพัดมาเป็นระลอก คมมีดที่ปักกลางหินผาเริ่มคลายออกเล็กน้อยตามการสั่นไหวของร่างนาง
ฉู่สวินหยางรีบเกร็งตัว พยายามเอนกายให้ติดหน้าผามากที่สุด เพื่อหลบลมแรงที่เข้ามาปะทะ
—————————-