สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 64.1 ใครว่าฆ่าคนต้องยืมดาบคนอื่น? (1)
“ข้ารู้! แต่ข้าก็ต้องการให้พวกเขารู้เหมือนกันราคาที่ต้องจ่ายหากคิดจะใช้ข้าเป็นหมาก ก็คือการถูกล้มกระดาน พังพินาศกันให้หมด!” ฉู่สวินหยางกล่าว
สีหน้าของนางสงบนิ่ง แววตาไม่แสดงอารมณ์ใดเป็นพิเศษ
และเพราะความนิ่งเงียบและเย็นเยือก ทำให้สิ่งที่นางพูดฟังดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
หัวคิ้วของฉู่ฉีเฟิงขมวดแน่น สายตาที่เจือความกังวลมองนางอย่างลึกซึ้ง ผ่านไปนานถึงเดินออกมาแล้วกุมมือนางไว้ “สวินหยาง นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีคนคิดกำจัดเขาอยู่แล้ว นี่เป็นการแก่งแย่งภายในของหนานฮวา จะช้าหรือเร็วก็ต้องเกิด ต่อให้ไม่มีเจ้า…”
“ท่านพี่!”ฉู่สวินหยางดึงมือออกจากฝ่ามือเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเพียงไม่กี่คำก็เดินหนี “รีบกลับเข้าเมืองเถอะ!”
เอ่ยจบก็ก้าวเท้าผ่านร่างของฉู่ฉีเฟิงไปทันที
ตอนที่เหยียนหลิงจวินหล่นจากหน้าผาตามนางไปนั้น นางเพิ่งจะเข้าใจว่าความรู้สึกแปลกๆ มันมาจากไหน…
ถ้าแค่เพราะต้องการฆ่าปิดปากนาง ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากซับซ้อนเพียงนี้?
เริ่มจากซุ่มคนหลายชั้นเพื่อขังนางไว้ในป่า แต่พอถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เจี๋ยหงกับเจี่ยงลิ่วกลับมาช่วยไว้ได้ทัน
ถ่วงเวลาด้วยวิธีการที่แยบยล ทางหนึ่งบีบให้พวกนางไปจนมุมที่หน้าผา อีกทางเตรียมแผนไว้ล่วงหน้าหาวิธีป้องกันไม่ให้คนถึงแก่ชีวิต ก่อนจะโจมตีนางครั้งสุดท้ายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม
เวลาถูกคำนวณไว้แล้วทั้งหมด…
เผอิญกับที่เหยียนหลิงจวินโผล่มาตอนนั้นพอดิบพอดี
ใต้หล้านี้มีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหน?
เห็นชัดว่าพวกนั้น…
หลอกใช้นาง ให้นางเป็นเหยื่อล่อเหยียนหลิงจวิน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายเป็นเหยียนหลิงจวินตั้งแต่แรก
พูดแล้วก็น่าขัน ความจริงก็เพราะความดึงดันและชอบทำตามใจตัวเองของนางที่ทำให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้
ในแคว้นซีเยว่มีคนต้องการเอาชีวิตฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียน เช่นเดียวกันกับฝ่ายแคว้นหนานฮวาที่มีคนต้องการให้
เหยียนหลิงจวินหายตัวไป
ดังนั้นเรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้
ส่วนนาง…
ก็แค่สิ่งที่อีกฝ่ายใช้ล่อเหยียนหลิงจวินออกมา เป็นเหยื่อที่บีบให้เขาต้องตกอยู่ในอันตราย
ฉู่ฉีเฟิงพูดถูก ต่อให้ไม่มีนาง พวกนั้นก็ต้องหาวิธีอื่นมาสานต่อจนสำเร็จ ทว่า…
จุดจบมันอาจจะต่างออกไปก็ได้!
หากไม่ใช่นางดื้อรั้นจะมาเมืองฉู่ ก็อาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างเช่นวันนี้ขึ้น
พวกนั้นทุ่มเทเรี่ยวแรงหลอกใช้นาง ใช้นาง…
เพื่อเอาชีวิตของเขา!
ฉู่สวินหยางก้าวเท้าฉับๆ สีหน้านิ่งเรียบจนผิดสังเกต ไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง
ฉู่ฉีเฟิงพาคนติดตามมา จัดการเก็บกวาดศัตรูทั้งในและนอกป่าจนเกลี้ยง ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด
สองคนออกจากป่า คนที่รออยู่ตรงนั้นก็จูงม้าเข้ามาให้ทันที
ฉู่สวินหยางพลิกกายขึ้นม้า พุ่งตรงกลับเข้าเมือง ผ่านตรอกถนนทุกสายอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ก่อนจะดิ่งไปที่จวนซึ่งรุ่ยชินอ๋องพำนักอยู่
ฉู่ฉีเฟิงส่งคนมาเฝ้าจวนเอาไว้ ทั้งนอกและในต่างมีองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนาถึงสามชั้น
ตอนที่สองคนไปถึง พ่อบ้านสวีแห่งจวนรุ่ยชินอ๋องได้พาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งออกมาจากในเรือน และกำลังมีปากเสียงกับองครักษ์เวรที่เฝ้าประตูใหญ่อยู่
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร นี่เป็นสถานที่ที่รุ่ยชินอ๋องพำนัก เมื่อไม่มีคำสั่งของท่านอ๋อง ใครให้เจ้ามาปิดทางอยู่ตรงนี้?” พ่อบ้านสวีตะคอกด้วยความโมโห “รีบไล่องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ออกไปให้หมด ถ้าท่านอ๋องติดใจเอาเรื่องขึ้นมาพวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่?”
นายกองที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูทำเป็นหูทวนลม เพียงทำหน้าเคร่งขรึมยืนหลังตรงแหน็วอยู่แบบนั้น
พ่อบ้านสวีไม่ต่างอะไรกับดีดพิณให้วัวฟัง เดือดดาลจนหน้าแดงก่ำแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พอกำลังจะหาเรื่อง ที่ตรอกด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังลอยมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน
พอหันมองตามเสียง ก็เห็นฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงรีบร้อนตรงมาพร้อมกับกลุ่มองครักษ์
ไม่ทันกะพริบตาฉู่สวินหยางก็มาถึงตรงหน้าแล้ว
“คารวะท่านหญิง คารวะท่านชาย!” เหล่าทหารต่างพากันคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายความเคารพ
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปโดยไม่แม้จะเหลียวมอง หางตาตวัดไปหาพ่อบ้านสวีทีหนึ่ง เอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพ่อบ้านสวีพูดว่าท่านปู่จะสืบสาวเอาความเรื่องอันใดนะ? ท่านปู่ข้าฟื้นแล้วอย่างนั้นรึ?”
พ่อบ้านสวีมีท่าทีหลุกหลิก แต่ยังแสร้งวางท่าสุขุม เอ่ยว่า “เปล่าขอรับ! คนพวกนี้จู่ๆ ก็ปิดล้อมทางเข้าจวน แม้แต่คนซื้อของในจวนก็ไม่ยอมให้เข้า ข้าน้อยพลันเกิดโทสะถึงได้ถกเถียงกับพวกเขา”
ฉู่สวินหยางยังไม่ทันตอบ ฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวข้ามประตูมา เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาคุมประตูเข้าออกจวนอย่างเข้มงวด!”
“ท่านชาย..” พ่อบ้านสวีสะดุ้ง อดจะระวังตัวไม่ได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นประจบประแจงเอาใจทันควัน “เหตุใดเล่าขอรับ? คนมากมายขนาดนี้…”
“เหตุใดน่ะรึ?” ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะ แต่รอยยิ้มที่ติดอยู่มุมปากกลับไร้ซึ่งความอ่อนโยนและใจดีเหมือนอย่างเก่า มองดูแล้วเย็นยะเยือกจับใจ ทำให้คนตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น
พ่อบ้านสวีผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก แต่พอได้ประสานสายตากับเขา ก็ยังใจสั่นอย่างไม่มีเหตุผล
ฉู่ฉีเฟิงเพียงจ้องเขาอย่างเย็นชา จากนั้นไม่พูดมากความ ก็สาวเท้ายาวๆ ไปที่เรือนด้านหลังทันที
ข้ารับใช้มากมายที่ผ่านไปมาต่างก็หยุดเท้ามองตามเขา
พ่อบ้านสวีร้อนใจ เหงื่อผุดเต็มหน้า วิ่งต้อยๆ ตามสองพี่น้องไปตลอดทางเดิน
ฉู่สวินหยางพุ่งตรงไปที่เรือนหลักด้านหลังที่ซึ่งรุ่ยชินอ๋องฉู่ซิ่นพักกายอยู่
สาวใช้และเด็กรับใช้ที่อยู่ในลานต่างหันมามองหน้ากันด้วยไม่รู้จักนาง แต่พอเห็นฉู่ฉีเฟิงกับพ่อบ้านสวีที่ตามหลังมาก็รีบก้มศีรษะและหลบไปยืนด้านข้างอย่างนอบน้อม ไม่กล้าส่งเสียงสักคำ
พวกสาวใช้ที่ดูแลฉู่ซิ่นอย่างใกล้ชิดในเรือนล้วนแต่เป็นคนของจวนรุ่นชินอ๋อง พอเห็นฉู่สวินหยางเข้าประตูมาก็รีบทำความเคารพ “คารวะท่านหญิงสวินหยาง!”
ฉู่สวินหยางไม่ได้สนใจ เดินตรงเข้าด้านในเรือนทันที
บนเตียงมีชายแก่สีหน้าซีดเซียวนอนสลบไสลตาปิดสนิทอยู่ ดวงหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ริมฝีปากมีสีดำเขียวแปลกๆ ดูแล้วเหมือนคนใกล้ตาย ทำให้คนมองปวดใจยิ่งนัก
“ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่สวินหยางหันไปมองพลางเอ่ยถาม
“ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้หนึ่งคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าลงสุดกำลังขณะที่ตอบคำถาม
“เจ้าออกไปก่อน” ฉู่สวินหยางสั่ง
“เอ่อ?” สาวใช้ผู้นั้นตกตะลึง รีบหันขวับมามองนาง
ฉู่สวินหยางย่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านหลังรีบตามเข้ามา เอ่ยตำหนิเสียงเย็น “คำสั่งของท่านหญิงเจ้าไม่ได้ยินหรือไง? ออกไปให้หมด!”
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนนุ่มนวล น้อยครั้งที่จะเห็นท่าทางดุดันเช่นนี้
สาวใช้คนนั้นตกใจจนหน้าซีดเผือด แต่ก็ไม่ได้ออกไปทันที นางเหลือบตามองปฏิกิริยาของพ่อบ้านสวีที่เดินตามเข้ามา พอเห็นว่าพ่อบ้านสวีพยักหน้า จึงค่อยลุกขึ้นยืนแล้วรีบล่าถอยไป
———————————-