สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 65.4 โหดร้าย (4)
“เรื่องนี้ เจ้าเตรียมที่จะโยนความผิดนี้ให้ฮั่วกังใช่หรือไม่” เขาถาม ทว่าในน้ำเสียงกลับมีความแน่ใจ
“โยนความผิด?” ริมฝีปากของฉู่สวินหยางโค้งขึ้น แววตาคมปลาบ “ต่อให้ข้าอยากโยนความผิดให้เขา เขาก็ต้องรับไป ในเมื่อเขามีความกล้าหาญที่จะแปรพักตร์ไปร่วมมือกับอีกฝ่าย ยามนี้…”
ฉู่สวินหยางพูดแล้ว ค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า แต่ละคำชัดเจนยิ่งนัก “ไปตายแทนนายที่เขาจงรักภักดี นับว่าเขาตายได้อย่างคุ้มค่าแล้ว”
ลุ่ยชินอ๋องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงอำนาจทหารเมื่อครึ่งปีก่อนเท่านั้น แต่เมื่อมองจากรูปการณ์เบื้องหน้าแล้ว เขารู้และเข้าใจถึงสถานการณ์ที่นี่อย่างชัดเจน
ไม่ต้องสงสัย ดูก็รู้ว่าเขาได้วางสายลับเอาไว้ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว
และคนผู้นี้…
หากพูดว่าเป็นฉู่ฉีเหยียนนั้นดูจะเกินความสามารถของเขาไปสักหน่อย ครั้งนั้นสามารถคิดบัญชีกับหลัวอี้ใต้จมูกฮั่วกัง
แม้ว่าจะประมาทฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ แต่เขามีความสามารถตื้นเขิน หากบอกว่าฮั่วกังถูกเขาซื้อตัว ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่มีใครสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
“ยามนี้เมื่อคิดได้ขึ้นมา ถึงรู้ว่าพวกเราล้วนถูกเขาหลอก” ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงเย็น “ในครึ่งปีมานี้ท่านพี่ได้สืบหาอย่างลับๆ ว่าเมื่อแรกนั้นสายลับที่ถูกซื้อตัวในกองทัพของฉู่ฉีเหยียนคือใคร แต่กลับคว้าน้ำเหลวไม่ใช่หรือไร? ที่จริงแล้วพวกเราไปผิดทิศทาง ตั้งแต่เริ่มต้นพวกเราเอาแต่คิดว่าคนผู้นั้นเป็นคนนอก”
ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะเยาะเย้ยตนเอง แววตาของเขาแววลุ่มลึกปรากฏพาดผ่าน “เขาและท่านพ่อต่างเกิดมาด้วยกันและผ่านความเป็นความความตายมาด้วยกัน ผู้ใดเลยจะคิดว่า…ผู้คนต่างพูดว่าใจของคนนั้นยากแท้หยั่งถึง คำพูดนี้จริงแท้”
“ไม่ใช่ทั้งหมด” ฉู่สวินหยางยักไหล่ น้ำเสียงเย้ยหยัน พูดคัดค้าน “ไม่ใช่จิตใจคนยากหยั่งถึง แต่เป็นจิตใจคนที่ไม่รู้จักพอ เมื่อคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ฮั่วกังเขาเลือกที่จะไปอยู่กับนายใหม่เพราะอะไรนั้นมีเหตุผลสนับสนุนอยู่ ฝ่าบาททรงระแวงเกินไป ด้วยสาเหตุการตายของหลัวอี้เพียงคนเดียว กลับลบล้างคุณงามความดีจากคมดาบที่เปื้อนเลือดในการปกป้องแผ่นดินเป็นระยะเวลาสิบกว่าปี และในเวลานั้นท่านพ่อเพียงรับปากเขาว่าเขาจะปลอดภัย ทั้งยังพูดให้เขานิ่งเฉยเอาไว้ ให้รอวันฟื้นคืนสู่ตำแหน่ง เมื่อคิดแล้ว…เขาคงได้คาดเดานิสัยของฝ่าบาทและท่านพ่อ รวมไปถึงวิธีการจัดการปัญหาเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงเกิดความเคียดแค้น แล้วไปเข้ากับอีกฝ่ายแทน”
“ระยะนี้ราชสำนักระส่ำระสายยิ่งนัก เขาเป็นเพียงขุนศึกคนหนึ่ง หากไม่รู้จักโอนอ่อนหรือล่าถอย ต้องอยู่บนคมหอกคมดาบ เขาจะไม่กลายเป็นหลัวอี้คนที่สองหรอกหรือ?” ฉู่ฉีเฟิงพูดเสียงเย็น “รอให้เขาถูกลอบสังหารกลายเป็นศพเมื่อนั้นจึงจะรู้ว่าท่านพ่อไม่ได้ไม่แลเหลียวเขา”
เมื่อแรกที่เขามาอยู่แคว้นฉู่นั้น ระยะนั้นเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากฮั่วกังมาไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับชายหนุ่มที่จงรักภักดีผู้นั้น ในตัวเขามีความนับถืออยู่หลายส่วน แต่ชั่วระยะเวลาไม่นานใจของคนก็เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้…
ความรู้สึกเช่นนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่งดงามเอาเสียเลย
“คนเราย่อมแตกต่างกัน” ฉู่สวินหยางกล่าว พูดแล้วก็มีความรู้สึกเยาะเย้ยหลายส่วน “แต่เรื่องนี้ ฉู่ฉีเหยียนย่อมต้องกังวลใจกว่าพวกเรา ในเมื่อ…ฮั่วกังมีจุดอ่อนของเขาอยู่ในมือ”
“ดังนั้นเล่า?” หัวใจของฉู่ฉีเฟิงกระตุกวูบ ถอนใจอย่างไม่รู้ตัว “เวลานี้เจ้าต้องการแตะต้องฮั่วกัง เกรงว่าฉู่ฉีเหยียนอาจจะไม่ยินยอม”
“แล้วแต่เขา หากเขามีปัญญาขวางข้าก็เป็นความสามารถของเขา” ชัดเจนยิ่งนักว่าฉู่สวินหยางไม่ได้คิดมากอันใดในเรื่องนี้ พูดได้ครึ่งหนึ่งแล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา น้ำเสียงกลายเป็นดุดันขึ้นมา พูดออกมาทีละคำว่า “แต่ข้าต้องการให้ฮั่วกังตายเท่านั้น”
เดิมทีแล้วนางยังคิดไม่ตกว่าการมาแคว้นฉู่ของนางและเหยียนหลิงจวินนั้นผู้ใดเป็นคนแพร่งพรายออกไป หากจะอาศัยวิธีการกระพือข่าวมาถึงแคว้นฉู่อย่างแม่นยำแล้วนั้น ยังมีใครจะเหมาะสมกว่าผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่นี่มาสิบกว่าปีอย่างฮั่วกังเล่า?
และยังสามารถคุมกองทหารรักษาการณ์ หากไม่มีฐานกำลังและความเชื่อถืออย่างมาก คงไม่สามารถทำได้
สำหรับข่าวที่บอกว่าต้องการขัดขวางการมาแคว้นฉู่ของนางและเหยียนหลิงจวินนั้น ทำให้การติดต่อระหว่างนางและฉู่ฉีเฟิงขาดกัน
คนผู้นี้มีความสามารถเต็มเปี่ยมที่จะทำได้
ลับหลังต่อสู้…ต่อหน้าเป็นมิตรเช่นนั้นหรือ?
หากพูดว่าฉู่ซิ่นคือผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นฮั่วกังก็คือคมดาบเล่มนั้นที่ทำร้ายคนอยู่ข้างหลัง
คนผู้นี้…
ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“สวินหยาง…” เป็นครั้งแรกที่ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเอ่ยถึงคนๆ หนึ่งแล้วเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเช่นนี้ แววตาจึงเต็มไปด้วยความขมขื่นมากโข
“ท่านพี่ ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ท่านก็วิ่งรอกมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด ข้าขอตัวไปก่อนแล้ว” ฉู่สวินหยางไม่ได้พูดอะไรกับเขามากมาย พูดจบแล้วก็หันกายเดินออกไป
ฉู่ฉีเฟิงหันกลับมา เห็นเพียงประตูกระโจมที่ปิดลงมา แววตาที่ปรากฏเคร่งขรึมลงอีก และดูยุ่งยากซับซ้อน
กองทัพหนานฮวา
ในกระโจมแม่ทัพฮ่องเต้วัยหนุ่มนั่งอยู่หลังโต๊ะ ในมือมีจดหมายจากทั่วสารทิศที่ส่งมาด้วยม้าเร็วกว่าแปดร้อยลี้
สีหน้าสดใส ท่าทางสงบและสง่างาม ระหว่างคิ้วนั้นยังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่
ทั้งที่นั่งมาตลอดทั้งคืนเขายังคงมีท่าทีสบายๆ และเป็นตัวของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้ว หลี่เหวยจึงยกอาหารเช้าเข้ามาด้วยตนเอง “ฝ่าบาท เสวยอาหารได้แล้วขอรับ”
“อืม” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ จากนั้นวางจดหมายลง ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
อาหารที่พ่อครัวทหารในกองทัพทำมานั้นรสชาติไม่เอาไหน ต่อให้เป็นการทำอย่างสุดฝีมือสำหรับเขา ก็ยังยากที่จะกลืนลงคอ
ชายหนุ่มฝืนใจกินไปได้ไม่กี่คำ คิ้วก็ขมวดแน่น
หลี่เหวยยืนมองท่าทางของเขาอยู่ด้านข้าง เดิมทีไม่คิดว่าเป็นเช่นใด แต่เมื่อมองไปที่กับข้าวบนโต๊ะ ที่ทำมาอย่างละเอียดประณีตนั้น ถึงรู้สึกว่าไม่ใช่ของดิบของดีอะไรนัก
อาหารเช้ามื้อหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นกินเพียงไม่กี่คำ ทว่ากลับใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม
สุดท้าย รอจนกระทั่งเขาวางตะเกียบลงและหันไปบ้วนปากแล้ว หลี่เหวยถือว่าเขาได้ทำหน้าที่เรียบร้อยแล้ว จึงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ชายหนุ่มเดินออกจากโต๊ะอาหารกลับไปยังโต๊ะหนังสือเพื่อดื่มน้ำชาคำหนึ่ง รู้สึกว่ารอบข้างกระโจมใหญ่นี้มีบรรยากาศเงียบสงบกว่าที่อื่น จึงพูดขึ้นโดยไม่ตั้งใจว่า “ข้างนอกเป็นเช่นใดบ้าง
“วุ่นวายเล็กน้อยขอรับ” หลี่เหวยกล่าว “การตายของฉางซือหมิง สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่รู้จักกับเขา แม้ว่าต่อหน้าฝ่าบาทพวกเขาจะไม่กล้าอาละวาด แต่เมื่ออยู่กันเป็นส่วนตัวแล้วนั้นพวกเขาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันไม่หยุดหย่อน และฝ่าบาทท่านอยู่ระหว่างทั้งสองกองทัพ ก่อนหน้านี้ได้ออกไปจากที่นี่ทำให้มีคนไม่น้อยมาถาม และหลังจากที่ท่านกลับมาแล้วก็มิได้ไปปรากฏโฉมหน้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในเวลาไม่กี่วันไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นขอรับ”
“เปิ่นกงนั่งอยู่ในกระโจม พวกเขายังกล้าพูดคุยแสดงความคิดอย่างกำเริบเสิบสาน ดูแล้วไส้ศึกที่เจ้าสี่และเจ้าหกทิ้งเอาไว้ที่นี่มีคุณงามความดีไม่น้อย” ชายได้หนุ่มได้ยินแล้วหัวเราะ ไม่มีท่าทีลังเล กลับมีท่าทีเบิกบานใจยิ่งนัก
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องได้นะขอรับ” หลี่เหวยย้ำเตือน แล้วหยุดชะงัก
“แล้วแต่พวกเขาเถิด” ริมฝีปากของชายหนุ่มยกโค้งขึ้นด้วยท่าทีไม่แยแส แต่เมื่อนึกถึงเรื่องใดขึ้นมาได้ คิ้วจึงขมวดแน่นขึ้น ระหว่างคิ้วของเค้าปรากฏร่องรอยความหงุดหงิดรำคาญใจ
ในเวลานี้เอง พลันได้ยินเสียงองครักษ์รายงานมาจากด้านนอก “ฝ่าบาท ทางซีเยว่ส่งเทียบเชิญมาขอรับ”
——————————–