สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 66.3 รักษาเมืองทั้งห้าเอาไว้ เจ้าไสหัวไปซะ (3)
หลังการตายของฉู่ฉีฮุย ฉู่ฉีเฟิงจึงได้เป็นผู้สืบทอดของวังบูรพาอย่างชอบธรรม คนผู้นี้ต่อไปต้องนั่งบัลลังก์มังกรเพื่อเป็นประมุขของคนนับหมื่น
เป็นฮ่องเต้…
ไร้ซึ่งความเมตตาปราณี ทุกเรื่องต้องคิดถึงส่วนรวมก่อน นี่เป็นบทเรียนที่จำเป็นต้องศึกษา
ฉู่อี้อันเองมิได้รอคอยอย่างไม่คิดทำอันใด เขาย่อมต้องอบรมสั่งสอนบุตรชายเพียงคนเดียวที่เหลืออย่างเข้มงวด
ความคิดของหลี่เหวยมีเหตุผลยิ่งนัก
องค์รัชทายาทหนานฮวาได้ยินแล้ว กลับไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่ส่ายหน้า “น่าเสียดาย…คนผู้นั้นคือฉู่สวินหยาง”
ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างพี่น้องฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางนั้นยากที่คนจะเข้าใจได้
การถือกำเนิดในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ แม้องค์รัชทายาทหนานฮวาจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลที่น่าเหลือเชื่อก็ตามที แต่เมื่อมองจากรายงานที่เขาได้มาอย่างละเอียดในมือแล้วนั้น…
คังจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นข้อยกเว้นในเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด
คนเช่นนี้นั้น…
ศัตรูที่มีจุดอ่อน สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใดก็เพียงพอแล้ว
เมื่อพบว่าเขาไม่มีความสนใจจะคุยเรื่องนี้ต่อไป หลี่เหวยจึงไม่พูดมาก
คนทั้งหมดควบม้าไปยังจุดนัดพบราวๆ สองเค่อจึงไปถึงสถานที่นัดพบ
ที่นี่เป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง จุดกึ่งกลางของสถานที่แห่งนั้นกว้างขวาง แต่ทว่าอยู่หระว่างเขาเตี้ยๆ สองลูก
“อวี้…” องค์รัชทายาทรั้งสายบังเหียนม้าเมื่อมาถึงปากทาง ดวงตาเป็นประกาย มองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง
หลี่เหวยมองซ้ายมองขวา มองหุบเขาที่ว่างเปล่าแห่งนั้น ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “อีกฝ่ายยังไม่มา?”
องค์รัชทายาทหนานฮวาเม้มปากครุ่นคิด ไม่เอ่ยอันใด…
สถานที่แห่งนี้ แม้จะไม่ใช่สถานที่อันตรายอันใด แต่ด้วยเหตุที่เป็นการนัดพบกับฉู่ฉีเฟิงเป็นการส่วนตัว วันนี้เขาจึงนำองครักษ์ส่วนตัวมาเพียงหยิบมือหนึ่งติดตามมาด้วยเท่านั้น หากต้องเข้าสู่ภายในหุบเขาจริงๆ และถ้าอีกฝ่ายใช้กำลังล้อมรอบทั้งสองด้านของภูเขา เขาจะตกอยู่ในวงล้อมทันที
เขาจึงหยุดอยู่ที่นี่ไม่ก้าวไปข้างหน้าอีก หลี่เหวยและคนอื่นๆ จึงทำการป้องกันทั้งสี่ด้าน…
การนัดพบครั้งนี้คงไม่ใช่กับดักใช่หรือไม่?
เมื่อหลี่เหวยคิดขึ้นมา ภายในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เวลานี้เองหูพลันได้ยินเสียงดังก้องฝ่าอากาศและเห็นความมืดเข้ามาเยือน
“แย่แล้ว ถูกซุ่มโจมตี” หลี่เหวยคำรามเสียงต่ำ ดึงดาบออกจากฝักทันที
เมื่อได้ยินว่ามีข้าศึก การซุ่มโจมตีนั้นเป็นของจริง แต่ทิศทางที่ลูกธนูยิงเข้ามานั้นไม่ได้มาจากด้านหน้าที่พวกเขากำลังทำการป้องกันจากการเข้าสู่หุบเขา ทว่ามาจากด้านหลัง ซึ่งมาจากทางเส้นเล็กๆ ที่พวกเขาเพิ่งออกมาจากช่องภูเขา
เหตุการณ์เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้คงจะไม่รอให้เสียเวลาจึงทำให้เกิดความสับสนชุลมุนขึ้นมาขณะที่ ดึงดาบออกจากฝักกันวุ่นวาย
เมื่อหันหัวม้ากลับไป เส้นทางด้านหลังได้ถูกมือธนูจำนวนแปดนายคุมพื้นเอาไว้แล้ว คนเหล่านั้นไม่เอ่ยคำใดเพียงแต่ยิงธนู
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีกำลังคนมากมายนักจะไม่ได้มากมายนัก แต่ทางด้านองค์รัชทายาทหนานฮวาเองก็มีกำลังคนติดตามมาอย่างจำกัดเช่นกัน
ผนวกกับฝ่ายตรงข้ามที่มาพร้อมกับการเตรียมการมาก่อน ทั้งยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม ในตอนนี้หลี่เหวยและคนอื่นๆ จึงทำได้เพียงต้านรับเท่านั้น ได้แต่ตวัดกระบี่เพื่อปัดป้องคมลูกธนูที่ระดมยิงเข้ามา
สีหน้าขององค์รัชทายาทหนานฮวาทะมึนลง
เมื่อมองมือธนูที่อยู่ตรงข้ามเหล่าแล้ว ในใจของเขากลับมีความรู้สึกประหลาดใจยากจะบรรยาย เป็นความรู้สึกสงสัยที่ไม่ชัดเจนทำให้หัวสมองตื้อตัน ทว่ากลับไม่กระจ่างแจ้งในเวลานี้ ด้านหลังของหุบเขาแห่งนี้มีคมธนูยิงออกมา
แน่แล้ว…
เป็นการโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังหรือไม่?
ต่อให้เป็นผู้ที่มีความสามารถและกล้าหาญเพียงใดก็ตาม แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่องค์รัชทายาทหนานฮวาก็พลันรู้สึกหัวใจหดรัด
หูของเขาขยับเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงธนูที่ยิงมาเข้ามาจึงยกกระบี่ในมือต้านรับในทันใด
เสียงเคร้งดังขึ้น คมธนูปะทะเข้ากับคมกระบี่ยาว เกิดเป็นประกายไฟเล็กๆ สะท้านสะเทือนจนมือเขาเกิดอาการชาเล็กน้อย
เขาเงยหน้าด้วยความโกรธเกรี้ยว มองไปตามประกายไฟที่เกิดขึ้น จึงมองเห็นด้านข้างบนหุบเขาแห่งนั้นมีทหารและม้าศึกโผนทะยานลงมา
ม้าตัวแรกนั้นคือหญิงสาว สวมอาภรณ์กระโปรงสำหรับฝึกยุทธ์สีคราม ด้านนอกสวมชุดไหมเกราะอ่อนสีเงิน ระหว่างที่ควบม้าเข้ามานั้นกระโปรงปลิวสะบัดบรรยายไม่ถูกถึงความบ้าคลั่ง
ใบหน้าของสาวน้อยเคร่งขรึมเย็นชา ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าที่งดงามของหญิงสาว ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายของฟ้าคำราม
ฉู่สวินหยางไม่ได้ลงมือด้วยตนเอง ทว่ากลับเป็นมือธนูข้างกายนางทั้งสี่คนที่ควบม้าลงมาพร้อมกับยิงธนูอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือฉู่สวินหยาง องค์รัชทายาทหนานฮวาถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด รีบดึงสติกลับมาพร้อมกับเตรียมรับมือกับศัตรู
ถูกคนซุ่มโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช่นนี้ ต่อให้หลี่เหวยและคนอื่นๆ จะเป็นยอดฝีมือที่คัดมาจากรัศมีร้อยลี้ก็ตาม แต่เมื่อตกอยู่ในมือของมือธนูระยะไกลก็ทำได้แค่เพียงต้านรับเท่านั้น ช่างน่าสลดหดหู่ยิ่งนัก
องค์รัชทายาทโมโหแทบจะระเบิด
การปรากฏตัวเช่นนี้ของฉู่สวินหยาง หากประสงค์จะเอาชีวิตเขาย่อมไม่พากำลังคนมาเพียงหยิบมือเป็นแน่
แต่เมื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว มือธนูที่นางนำมาด้วยนั้น บนหลังม้าของทุกคนต่างนำถุงธนูมามากกว่าสามถุงเต็มๆ
ชัดเจนยิ่งว่า…
นี่ก็คือการลบหลู่ดูหมิ่นเขา
และที่น่าเคียดแค้นชิงชังยิ่งกว่าก็คือ ทั้งๆ ที่รู้เจตนาของอีกฝ่าย ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งเขาคงไม่อาจจะนั่งรอคอยความตายอยู่เฉยๆ ได้
ภายใต้การหลบหลีกทั้งซ้ายขวา ใบหน้าขององค์รัชทายาทนั้นแดงก่ำ ดวงตานั้นเผยเส้นเลือดฝอยสีแดง เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
จนกระทั่งลงมาจากภูเขาลูกนั้น ฉู่สวินหยางที่มีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใดใดก็หยิบคันธนูอันเล็กพิเศษของตนออกมาจากหลังม้า ขึ้นสายธนู หรี่ตาลงเพื่อเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ
หัวใจขององค์รัชทายาทหนานฮวาหดรัด
ความโหดร้ายทารุณของสาวน้อยผู้นี้เขาได้เรียนรู้มากับตัวเองนานแล้ว
เพียงเห็นนางที่ตกอยู่ในอันตรายเพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้าแล้วยังดึงคนชุดดำที่ซุ่มโจมตีให้ตกหน้าผาไปด้วยก็รู้แล้ว
ต่อให้ครั้งนี้นางไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิตของเขา แต่หากเพื่อเป็นการบันดาลโทสะ จะยิงเขาด้วยลูกธนูสักดอกนั้นย่อมมีความเป็นไปได้
ด้านหนึ่งต้องต้านรับการโจมตีจากมือธนู อีกด้านหนึ่งยังต้องคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของสาวน้อยผู้นี้อยู่ตลอดเวลา คาดการณ์ว่านางจะลงมืออย่างโหดเหี้ยม
ฉู่สวินหยางถือคันธนูคันนั้นไว้ในมือ ท่าทางที่ชี้ปลายธนูมาที่เขานั้นเกียจคร้าน ทว่ากลับไม่ยิ่งธนูออกมา
องค์รัชทายาทไม่กล้าวางใจแม้สักวินาทีเดียว ผลของการต้องคอยระแวดระวังภัยทั้งสองทาง จึงถูกลูกธนูดอกหนึ่งยิงเข้าที่ไหล่ด้านซ้ายและข้างล่างของเอวด้านขวาทะลุออกไป
เอวด้านขวานั้นลูกธนูเพียงแทงทะลุเนื้อผ้าของเสื้อคลุมด้านนอก หัวไหล่ด้านซ้ายนั้นทะลุเพียงเนื้อผิวภายนอก ก็ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมาในพริบตา
“ฝ่าบาท!” หลี่เหวยตกใจจนหน้าถอดสี รีบควบม้าไปข้างกายเขา เข้าไปคุ้มครองอยู่ข้างกายเขาไม่ยอมห่างออก มาแม้เพียงครึ่งก้าว
องค์รัชทายาทหนานฮวายกมือขึ้นลูบเลือดบนหัวไหล่ ใบหน้าของเขาเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียวสลับไปมา ได้แต่ถลึงตามองไปยังฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงข้าม
————————-