สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 66.4 รักษาเมืองทั้งห้าเอาไว้ เจ้าไสหัวไปซะ (4)
ฉู่สวินหยางยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทีราวกับไม่แยแสต่อเรื่องเหล่านี้ นางเล่นคันธนูคันเล็กที่อยู่ในมือ สีหน้านั้นเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
แม้จะเป็นวันแรกที่ได้พบหน้านางในยามอยู่ต่อหน้าข้าศึก แต่การวางท่าทีเช่นนี้ของนางทำให้องค์รัชทายาทแอบตกตะลึงในใจ…
นี่เป็นเพียงเวลาชั่วข้ามคืน สาวน้อยผู้นี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่เกี่ยวกับรูปโฉมอาภรณ์ แต่เป็นกลิ่นอายของคนทั้งคนที่เปลี่ยนไป
หากกล่าวว่าฉู่สวินหยางที่ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางค่ายทหารนับพันนายและม้าศึกนับหมื่นนั้นเป็นสาวน้อยหน้าตางดงามที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจเล็กน้อย เช่นนั้นในเวลานี้…
ลักษณะของสาวน้อยที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือคมดาบเยียบเย็นท่ามกลางข้าศึกนับหมื่น ที่พร้อมที่จะทะลวงแทงออกไปด้วยความเย็นชาถึงขีดสุดและโหดเหี้ยมที่สุด
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะกลิ่นอายภายนอก ทว่ามันออกมาจากภายในตัวของนาง เป็นกลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากภายในร่างกายของนาง…
คนขวางฆ่าคน พระขวางฆ่าพระ เหมือนกับผีทวงชีวิตที่คลานออกมาจากที่ใดสักแห่ง
แน่นอนว่า…
รูปโฉมอันงดงามของนางยังคงน่าชื่นชมกระจ่างตา
ตลอดเวลาฉู่สวินหยางไม่ได้สั่งให้หยุดเพียงแต่มีท่าทีเกียจคร้านอย่างที่สุดมองจากไกลๆ
องค์รัชทายาทหนานฮวารู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งกำลังที่จะต้านรับต่อหน้านาง ทุกครั้งนางจะทำให้เขาโมโหจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ดได้โดยที่ไม่ต้องออกเสียงหรือแสดงสีหน้า แค้นใจนักที่ไม่ได้ฆ่านางให้ตายกับมือในวันนั้น หรือให้ตนเองหาเชือกมามัดนางไว้ก็คงจะดี
เมื่อลูกธนูในถุงธนูที่สองของมือธนูหมดลง องค์รัชทายาทหนานฮวาสิ้นสุดความอดทนอดกลั้นแล้ว เขาแตะมือบนหลังอานม้าเพียงมือเดียว ร่างของเขาพลันลอยขึ้นพลิกตัวกลางอากาศ พร้อมกับตวัดกระบี่พุ่งไปเบื้องหน้าฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ท่ามกลางความเดือดดาลของเขาทำให้พละกำลังเป็นที่มี เป็นที่น่าตกตะลึงแก่ผู้อื่น
องค์รัชทายาทหนานฮวาได้คำนวณเวลาและจังหวะไว้แล้ว เป็นเวลาหลังจากที่มือธนูข้างกายฉู่สวินหยางเพิ่งจะระดมยิงมารอบแรกและกำลังเตรียมน้าวสายธนูขึ้นใหม่อีกครั้ง
ฉู่สวินหยางประสานสายตาของความโกรธเกรี้ยวของเขา ไม่หลบไม่หลีก มีเพียงมุมปากที่ยกขึ้นราวกับมีรอยยิ้ม
รอยยิ้มนี้…แท้จริงไม่มีความรู้สึกซับซ้อนใดใดอยู่ในรอยยิ้มนั้น เป็นเพียงการแสดงออกทางสีหน้า แต่ท่ามกลางความเย็นชาของนางนั้น ใบหน้าของนางทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกที่ถึงความงดงาม
องค์รัชทายาทหนานฮวานั้นเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น นางกลับนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างมั่นคง ไม่ขยับดุจขุนเขา ราวกับไม่มีความคิดที่จะต้านรับศัตรูหรือหลบหลีก
ร่างขององค์รัชทายาทหนานฮวาที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันชะงักเล็กน้อย ในใจพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา…
สาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่ว่ายังมีแผนการอื่น?
ทันทีที่เขาคิดไขว้เขว ชั่วระยะที่ใกล้เข้ามานั้นฉู่สวินหยางกลับยื่นมือไปหยิบถุงผ้าสีดำที่ผูกอยู่บนหลังม้าของนางออกมา ครอบศีรษะของสองนายบ่าวไว้ด้วยกัน
“ฝ่าบาทระวัง” องค์รัชทายาทหนานฮวาลังเลหยุดชะงัก หลี่เหวยก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง มือหนึ่งจับถุงผ้าสีดำไว้ อีกมือหนึ่งขวางเจ้านายของตนเอาไว้ ทั้งสองคนตกลงลงบนพื้น
ฉู่สวินหยางหรี่ตาลง นี่ต่างหากเล่าจังหวะที่จะลงมือ คิดแล้วก็ยิงลูกศรออกไป
องค์รัชทายาทหนานฮวาเพิ่งจะลงสู่พื้น ยังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง จึงเซถอยไปข้างหลังหลายก้าว
เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ลูกศรสั้นๆ ดอกนั้นยิงทะลุปลายรองเท้าของเขาปักลงสู่บนพื้นดิน
มุมปากของฉู่สวินหยางปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยถากถาง กวาดตามองขึ้นสูงลงต่ำเช่นนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ
ยามนี้นางอยู่บนหลังม้า เขายืนอยู่ข้างล่างม้า เสื้อผ้าอาภรณ์ขาดหลุดรุ่ย สภาพน่าเวทนายิ่ง
แม้ว่าจะเป็นการได้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ทว่าเมื่อเปรียบเทียบแล้วทำให้เห็นถึงข้อแตกต่างมากมายความรู้สึกราวกับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินนั้นท่วมท้น ราวกับความคิดที่จะเก็บคนผู้นี้ไว้นั้นถูกกลืนหายไป
ฉู่สวินหยางให้สัญญาณมือขึ้นครั้งหนึ่ง มือธนูข้างกายนางต่างหยุดมือ
แต่ด้านนอกหุบเขายังคงปะทะกันไม่หยุด ด้านหลังนั้นมีทั้งคมดาบและคมกระบี่ ปะทะกันชุลมุนยิ่งนัก
สีหน้าขององค์รัชทายาทหนานฮวาประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียวสลับไปมา ได้แต่ฝืนกดมือลงไปบนทรวงอกของตนพูดพร้อมกับกัดฟันแน่น “ฉู่สวินหยาง เจ้าแอบอ้างชื่อของฉู่ฉีเฟิงนัดพบข้าที่นี่ นี่คือการให้ข้ามาเล่นกับพวกเจ้าอย่างคนด้อยปัญญาใช่หรือไม่?”
เขามองออกว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะเอาชีวิตเขาตั้งแต่แรก แต่การกระทำเพื่อลบหลู่เช่นนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าการลงมือด้วยปืนผาหน้าไม้จริงๆ เสียอีก
ฉู่สวินหยางสงเสียงร้อง ‘หึ’ ขึ้นครั้งหนึ่ง พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเองไม่มีเวลามาเล่นพวกเจ้า ด้านในถุงผ้านั้นคือความจริงใจของข้าที่ให้เจ้า ให้พูดอย่างรวบรัดก็คือนี่ถือเป็นการชดเชยที่เจ้ากล้าคิดร้ายกับข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ จากนี้ไปให้เจ้ามุ่งหน้าลงทางใต้ เหลือเมืองทั้งห้าแห่งในเขตชายแดน ส่วนเจ้า…ไสหัวไปซะ!”
เจ้าไสหัวไปซะ? เจ้าไสหัวไปซะ? เจ้าไสหัวไปซะ?
หลี่เหวยตกตะลึง ในเวลานี้แม้แต่ความโกรธก็ยังไม่มีเวลาโมโห ในสมองกลับวนเวียนอยู่เพียงสองคำไม่หยุด
“ไสหัวไปซะ?…ไสหัวไปซะ”
องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ไร้เทียมทาน ตั้งแต่ถือกำเนิดออกมาจากท้องแม่ กระทั่งต่อหน้าฮ่องเต้ก็ยังไม่ได้รับความอับอายถึงเพียงนี้
ยามนี้ให้เด็กสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาชี้หน้าด่าว่าให้พวเขาไสหัวไปซะ?
สีหน้าของหลี่เวยแข็งค้าง ใบหน้าของเขามีความประหลาดใจปรากฏอยู่ แล้วจึงเปลี่ยนแปรไปท้ายที่สุดก็สับสนจนหน้าตาบิดเบี้ยว
ส่วนองค์รัชทายาทหนานฮวาได้แต่แสดงสีหน้าราวกับถูกฟ้าผ่า
เขาถลึงตา สีหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวขาวสลับกัน ได้แต่ถลึงตามองสาวน้อยผู้อวดดีและเย็นชาบนหลังม้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เส้นเลือดสีเขียวข้างขมับเต้นตุ้บๆ
เช่นเดียวกับหลี่หลิน ครั้งนี้เขาเพียงแต่กังวลมากเกินไปกับการตัดสินใจ ไม่ได้มีสติหรือความคิดที่จะเข้าใจในเงื่อนไขของฉู่สวินหยางที่ต้องการ ‘แบ่งดินแดน’ อย่างไม่เป็นธรรม ในสมองเต็มไปด้วยคำสองคำที่นางเหลือเอาไว้ให้
นาทีนี้โมโหสุดขีด เขารู้สึกในทันใดว่าเขาได้สูญเสียความสามารถในการอาละวาด
“หึ…” อารมณ์และสีหน้าบนใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายแล้วเขาก็โมโหจนหัวร่อออกมา นิ้วมือที่อยู่ด้านหลังนั้นค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น จ้องหน้าฉู่สวินหยางอย่างเคียดแค้น พูดออกมาทีละคำ “ข้าว่าเจ้าตายไม่สำเร็จในครั้งเดียว คงได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ทำให้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางเสียสติหรือไม่นั้นเขาไม่แน่ใจ แต่เขาเชื่อเหลือเกินกว่า หากให้สาวน้อยผู้นี้ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกหลายครั้ง ต่อให้เขาไม่ถูกบีบจนเสียสติ ก็ต้องกระอักเลือดตายทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
“ข้าไม่ได้มายื่นเงื่อนไขให้เจ้า หากเจ้ามีความสนใจพวกเราต่างก็มีความสุข ไม่เช่นนั้นแล้ว…” ฉู่สวินหยางยกยิ้ม “หากเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าย่อมมีวิธีการที่จะได้มันมาจนได้ สำหรับเจ้านั้น หากเจ้าจะต่อกรกับข้าเพื่อเมืองเล็ก ๆ ห้าเมืองนี้ข้าย่อมไม่มีปัญหา เพียงเพื่อกิจการค้าขายที่เจ้าแอบซ่อนมาเป็นเวลาหลายปี เพียงหยิบเมืองเก่าของตนออกมา หรือจะเปลี่ยนเป็นแคว้นฉู่ทั้งหมด เจ้าคิดแล้วหรือว่ามันคุ้มค่ากันจริงๆ”
หลี่เหวยได้ยิน อดไม่ไหวที่จะถอนใจครั้งหนึ่ง แล้วหันกลับไปดูนายท่านของตน…
แต่เป็นการพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว ฉู่สวินหยางท่านนี้กลับมองนายท่านของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้เลย
————————