สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 67.4 ถล่มเมือง ทำลายแคว้น! (4)
ท่านเก่อเปิดแบบร่างในมือดูคร่าวๆ ก่อนรอบหนึ่ง แล้วเขาก็สูดหายใจทันที พลางถามอย่างแปลกใจ “ท่านหญิงจะจู่โจมค่ายทหารหนานฮวาคืนนี้?”
“ในราชสำนักหนานฮวามีความเคลื่อนไหวผิดปกติ องค์รัชทายาทหนานฮวาก็โดนโจมตีไม่น้อย เพราะเรื่องตัดหัวแม่ทัพก่อนออกรบ ว่ากันว่าวันนี้พอฟ้ามืดเขาก็รีบร้อนกลับเมืองหลวงไปอธิบายกับฝ่าบาทแล้ว เวลานี้องค์ชายหกเป็นคนดูแลรับผิดชอบกองทัพของเขา” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา กลับเหมือนไม่ค่อยสบายใจนัก นางโคลงถ้วยกระเบื้องในมือเล็กน้อย “เรื่องทางเมืองหลวงของพวกเราก็รอช้าไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน หากต้องตัดสินแพ้ชนะด้วยการปะทะกันตรงๆ ในสนามรบจริงก็จะเสียเวลาเกินไป เวลานี้เป็นภาวะฉุกเฉิน ข้าต้องการจบสงครามให้ไวที่สุด”
ท่านเก่อรู้ว่าฉู่อี้อันให้ท้ายท่านหญิงสวินหยางคนนี้มาก ถึงแม้ที่นี่จะเป็นค่ายทหารเมืองฉู่ ทว่าไม่มีรุ่ยชินอ๋อง และฉู่ฉีเหยียนก็กลับเมืองหลวงไปแล้วเช่นกัน ที่นี่ฉู่ฉีเฟิงจึงใหญ่ที่สุด
พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครคุมท่านหญิงสวินหยางได้!
เขาไม่กล้าพูดอะไร จึงหันไปมองเจิงจี
“ท่านหญิง นี่ท่านจะ…” เจิงจีก็รู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินตัวเช่นกัน เขาจึงอดที่จะกังวลไม่ได้ “หากทำเช่นนั้น ต้องยั่วโมโหฮ่องเต้หนานฮวาแน่ และถึงเวลานั้นก็จะมีภัยตามมาอีกมากมาย เกรงว่าคงอธิบายกับฝ่าบาทได้ยากขอรับ!”
“ใครสนล่ะ?” ฉู่สวินหยางหัวเราะเยาะอย่างไม่สนใจไยดี “สองทัพประจันหน้ากัน การรบกันอย่างดุเดือดยืดเยื้อ ข้าใช้กลอุบายบีบให้ข้าศึกถอยทัพไป แถมยังยึดเมืองของอีกฝ่ายมาทำให้ทหารมีขวัญและกำลังใจ ฝ่าบาทยังจะเล่นงานข้าอีกงั้นหรือ?”
หลายปีนี้สงครามระหว่างหนานฮวากับซีเยว่ร้อนระอุและยืดเยื้อมาตลอด ถึงแม้ที่เมืองฉู่นี้จะต้องทำสงครามบ้าง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะกันอย่างชัดเจน
เพราะซีเยว่เพิ่งตั้งแคว้นมาได้ไม่นาน ฉู่เป้ยจึงไม่ได้ทุ่มความสนใจไปที่สงครามมากนัก และฮ่องเต้ฝั่งหนานฮวาก็กำลังจับตามองเช่นกัน…
ตอนที่ฉู่เป้ยช่วงชิงอำนาจการปกครองแคว้นมาจากมือของต้าหรงนั้นฝีมือร้ายกาจมาก ฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถของหนานฮวาจึงกำลังคิดเช่นกันว่าสุดท้ายแล้ว คนนี้จะเป็นคนที่เขาสามารถท้าทายโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาสักครั้งได้หรือไม่
ดังนั้นถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่ยอมออกหน้าไกล่เกลี่ย เพราะศักดิ์ศรีของตนเอง แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าที่นี่ยังคงมีสงครามอยู่เช่นเดิม
คำพูดของฉู่สวินหยางทำให้เจิงจีและท่านเก่อต่างพูดไม่ออก สองคนสบสายตากันอย่างจริงจัง ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากอีก
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” ท่านเก่อคารวะและถอยออกไปก่อน
ฉู่สวินหยางเดินไปนั่งลงหลังโต๊ะ และดึงแผนที่ที่อยู่ใต้หนังสือออกมากาง
เจิงจีเดินเข้าไปหาว่า “ท่านหญิง จะไม่ลองทบทวนเรื่องนี้ดูอีกสักรอบหรือขอรับ?”
“แค่เมืองไม่กี่เมืองเท่านั้น หากฮ่องเต้หนานฮวารู้ตัวดีก็น่าจะรู้ว่าข้าทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาแอบเล่นตุกติกก่อน จะไม่ให้ข้าคิดบัญชีกับเขาเลยหรือ?” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางจรดนิ้วลงบนแผนที่และศึกษาลักษณะภูมิประเทศแถบนี้อย่างจริงจัง “เขาลังเลและไม่เด็ดขาด ทั้งๆ ที่จ้องจะตะครุบเมืองฉู่มานานแล้วชัดๆ แต่กลับยังรีรอไม่ลงมือ ข้าไม่ได้ขี้ขลาดมากเหมือนเขา หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ใครถล่มเมืองใคร ใครทำลายแคว้นใครก็แค่ว่ากันตามกำลังของทั้งสองฝ่าย ถ้าหากสู้อีกฝ่ายไม่ได้ก็ยอมรับว่าโชคร้ายเองแค่นั้น!”
“ท่านหญิง!” แต่ไหนแต่ไรมาเจิงจีก็รู้ว่าเจ้านายน้อยของตนเองคนนี้เป็นคนคิดการใหญ่ เวลานี้เขาจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างจืดเจื่อนเท่านั้น “นี่น่าจะไม่ใช่ความคิดของใต้เท้าเหยียนหลิงใช่หรือไม่ขอรับ? การที่เขาทำแบบนั้นก็ถือว่าเขาทุ่มเทสุดกำลังเพื่อปกป้องตนเองให้ปลอดภัยจนรอดมาถึงทุกวันนี้ หากเปิดเผยความลับนี้ออกไป เกรงว่าเขาก็จะลำบากเช่นกัน ท่าน…ลองทบทวนดูอีกสักหน่อยเถอะขอรับ!”
นิ้วมือของฉู่สวินหยางที่จรดอยู่บนโต๊ะพลันชะงักไปทันที นัยน์ตาของนางหม่นหมองเพียงชั่วพริบตา แล้วกลับมาเป็นปกติแทบจะทันทีว่า “ข้าจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา!”
แม้จะพยายามอดทนและยอมอ่อนข้อให้มาจนถึงตอนนี้ สุดท้ายก็ยังต้องรับมือแผนการที่ฮ่องเต้หนานฮวาทุ่มเทอย่างสุดความสามารถอยู่ดี
การประนีประนอม…
ก็มีแต่จะเร่งให้อีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอกมากยิ่งขึ้นเท่านั้น!
และอีกฝ่ายก็หาร่องรอยของเหยียนหลิงจวินเจอแล้ว ต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ไม่น่าจะหายเงียบไปแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ต้องมีครั้งหน้าอีก
เรื่องแบบนี้…
นอกจากตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก?
แล้วฮ่องเต้คนไหนบ้างที่ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่คนอื่น? ไปพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลกับพวกเขาหรือ? สู้ล้มเขาให้คว่ำไปเลยดีกว่า!
ตอนที่เจ้ายืนอยู่ แต่เขาคุกเข่าและยอมก้มศีรษะอยู่บนพื้น อำนาจของฮ่องเต้…
ก็เป็นแค่เอกสารที่ไร้ผลบังคับเท่านั้น!
เจิงจีรู้สึกกลุ้มใจ…
นี่ท่านหญิงของตนเองคิดจะต่อต้านใต้เท้าเหยียนหลิง แต่เขากลับคิดอะไรไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
เจิงจีส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา แล้วก็ถอยออกไป
คืนนั้นองค์รัชทายาทหนานฮวาออกจากค่ายกลับไปเมืองหลวง
ถึงแม้จะรู้ว่าครั้งนี้เขาจำเป็นต้องทำ ทว่าพอคิดถึงทุกสิ่งที่ฉู่สวินหยางทำก่อนหน้านี้ องค์รัชทายาทหนานฮวาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ และมักจะรู้สึกเหมือนหดหู่ไม่น้อยที่จากไปเช่นนี้ จนทำให้เขารู้สึกอัดอั้นตันใจไปหมด
หลี่เหวยคอยจัดการปัญหาที่จะตามมาให้เรียบร้อยอยู่เบื้องหลัง และเพิ่งจะตามเขาทันหลังจากผ่านไปสองชั่วยาม[1]แล้ว
“เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบได้เบาะแสแล้วหรือ?” องค์รัชทายาทหนานฮวาเอ่ยถาม
“ขอรับ!” หลี่เหวยพยักหน้าและเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เป็นอย่างที่องค์ชายคาดการณ์ไว้ขอรับ เหตุวางเพลิงในค่ายทหารของพวกเราก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของท่านหญิงสวินหยางจริงๆ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบบริเวณรอบๆ ค่ายทหารทั้งหมดอย่างละเอียดแล้ว พบทางเดินแคบที่ยื่นออกมาจากริมหน้าผาสูงชันแอบซ่อนอยู่ตรงจุดที่ห่างจากค่ายห้าลี้[2] คนของนางน่าจะเดินทางผ่านเข้ามาจากตรงนั้นขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ?” องค์รัชทายาทหนานฮวาได้ยินแล้วก็ยิ้มทันที รอยยิ้มนี้เปลี่ยนบรรยากาศอึดอัดก่อนหน้านี้ให้กลายเป็นความรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ
หลี่เหวยเห็นเขายิ้มก็รู้สึกแปลกใจ ทว่าพอคิดว่าวันนี้เขามีสีหน้าเคร่งขรึมมาทั้งวันก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้…
องค์ชายของตนเองโดนท่านหญิงสวินหยางยั่วยุจนเพี้ยนไปแล้วงั้นหรือ?
เขากระวนกระวายใจมาก แต่ก็ไม่กล้ายุ่มย่ามเข้าไปซักไซ้ คืนนั้นคนทั้งกลุ่มรีบออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ทางค่ายทหารหนานฮวานั้นเดิมทีองค์ชายหกกำลังวางแผนอยู่ว่าจะแย่งชิงอำนาจทางการทหารที่นี่มาได้อย่างไร ทว่าทันใดนั้นก็เหมือนถูกขนมเปี๊ยะที่หล่นลงมาจากฟ้า[3]อย่างน่าประหลาดนั้นกระแทกศีรษะจนเขาเวียนศีรษะและตาพร่า
เขาเกิดรู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา จึงเรียกรวมตัวเสนาธิการมาปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งดึกมากแล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่กระโจมแม่ทัพ
แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้าไปในกระโจมก็ถูกตีจากด้านหลังอย่างแรง
——————————————————-
[1] หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง ดังนั้นสองชั่วยาม = 4 ชั่วโมง
[2] 1 ลี้ = 500 เมตร ดังนั้น 5 ลี้ = 2.5 กิโลเมตร
[3] มีของดีตกลงมาจากฟ้า