สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 69.2 เขาบาดเจ็บหนักใช่หรือไม่! (2)
เดินห่างออกไปสามลี้ก็เป็นทางลับที่อยู่ริมหน้าผา
ฉู่สวินหยางค้นหาไปตลอดทาง ยังไม่ทันที่จะออกไปจากค่ายก็พบพวกฉู่ฉีเฟิงอยู่ที่นั่นเสียก่อน
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางกล่าว พลิกกายลงจากหลังม้าเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าบนแขนของฉู่ฉีเฟิงถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือด ก็ขมวดคิ้วขึ้น ดึงแขนเขามาดู “เป็นอย่างไรบ้าง? ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร บาดเจ็บภายนอกนิดหน่อยเท่านั้น!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว กลับไม่ถามถึงเรื่องที่นางก่อไว้ทางด้านหน้า
ระหว่างพวกเขาพี่น้องนั้นรู้กันเป็นปริยายอยู่แล้ว
เหมือนกับหลังจากที่ฉู่สวินหยางได้รู้ว่าองค์ชายหกของหนานฮวาถูกลักพาตัวไปอย่างสำเร็จ ก็รู้ได้โดยทันทีว่าฉู่ฉีเฟิงย่อมต้องฉวยโอกาสตอนที่ศัตรูกำลังอ่อนแอ วางแผนจัดการอะไรบางอย่างแน่…
ฉู่ฉีเฟิงปรับเปลี่ยนแผนการอย่างกะทันหัน ส่งคนไปลอบสังหารรองแม่ทัพพวกนั้น ในขณะเดียวกันก็คาดการณ์ไว้แล้วว่า ด้านฉู่สวินหยางก็ต้องทำเรื่องออกมาเช่นนี้
ดังนั้นกลอุบายที่ผสมผสานกันออกมาอย่างไร้ที่ตินี้…
เดิมทีก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องวางแผนล่วงหน้า
เหตุผลก็เพราะว่าต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจนิสัยและวิธีการลงมือกันเป็นอย่างดี ดังนั้นเพียงแต่ละคนลงมือตามวิธีการตนเองแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ฉู่สวินหยางลองดึงแขนของเขาดู เมื่อแน่ใจดีแล้วว่าไม่ได้บาดเจ็บถึงภายในก็วางใจลง รีบถอดเสื้อเกราะบนร่างออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้า “ด้านหน้านั้นมีพวกเจิงจีคอยเฝ้าดูอยู่ ทัพหนานฮวาพวกนี้ไร้ซึ่งผู้นำ เดิมทีก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใด ใช้เวลาไม่นานก็คงจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว นอกจากนี้ ข้ายังจัดกำลังคนแฝงไปกองทัพ เพื่อถือโอกาสจัดการคนของฮั่วกังที่หลงเหลืออยู่ในทัพให้สิ้นซาก เพียงแต่คนทางด้านนั้นยังเป็นพวกที่มีประสบการณ์และตำแหน่งอยู่มาก รอจนเสร็จสิ้นเรื่องของพวกหนานฮวา พวกเราค่อยคิดหาวิธีจัดการอีกที”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงสวมชุดอย่างรวดเร็วไปพลาง เม้มริมฝีปากกล่าวไปพลาง “เรื่องพวกนั้นยังไม่จำเป็นต้องรีบ รอจนกลับไปที่ค่ายแล้วค่อยพูดเถิด”
เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ฉู่สวินหยางก็กล่าวขึ้น “ท่านพี่ไปก่อนเถิด ข้าจะกลับไปที่ค่ายก่อน ด้านนั้น…ดูเหมือนว่ายังจะมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่นิดหน่อย!”
ขณะที่ฉู่สวินหยางพูด ก็หมุนกายเดินไป
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงคว้าแขนนางไว้โดยสัญชาตญาณ
ฉู่สวินหยางเผินหน้ากลับมา ส่งสายตาถามเป็นนัยให้เขา “มีอันใดหรือ?”
“องค์ชายหกแคว้นหนานฮวา…” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว พลางใช้คำพูดอย่างพินิจ แม้จะมีความขัดแย้งในใจที่ไม่อยากยกขึ้นมาพูด แต่ว่ากลับรวบรวมสติขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ยังคงเอ่ยปากออกไปอย่างตรงๆ “เป็นเขาที่ให้คนไปทำใช่หรือไม่?”
พูดถึงเหยียนหลิงจวิน ในดวงตาของฉู่สวินหยางก็มีประกายแสงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็วทันที
เพียงแต่ท่าทีของนางเปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว ไม่เปิดเผยความรู้สึกที่ซ่อนเร้นให้ฉู่ฉีเฟิงได้รู้สักนิด
“ใครทำก็ล้วนเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น…” ฉู่สวินหยางกล่าว ขณะที่พูดก็ชำเลืองสบกับสายตาเขา กล่าวอย่างเผยยิ้มเล็กน้อย “แค่เป้าหมายบรรลุผลก็เพียงพอแล้ว”
ฉู่ฉีเฟิงมองนาง หลังจากนั้นสักครู่จึงค่อยตบลงไปบนไหล่นาง “เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเถิด! ข้ายังต้องรีบตามไปดูสถานการณ์ด้านหน้าเสียหน่อย”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ หมุนกายปีนขึ้นไปบนหลังม้า จู่ๆ ก็คล้ายกับคิดอะไรออกขึ้นมา จึงชี้ไปที่องครักษ์ข้างกายคนหนึ่งของฉู่ฉีเฟิง “ใช่แล้ว หย่วนซานยังรออยู่ทางอีกฝั่งที่พวกเจ้าเข้ามา เจ้าไปบอกกล่าวกับเขาเสียหน่อยเถิด”
“ขอรับ! ท่านหญิง!” คนผู้นั้นรับคำสั่ง
ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนั้นก็ไม่รั้งรออันใดอีกแล้ว ควบม้าลัดไปทางเมืองฉู่ ย้อนกลับไปยังที่ตั้งมั่นค่ายทหารของตน
เพราะว่าต้องการถอนรากถอนโคนทหารหนานฮวาที่นี่ให้หมด ครั้งนี้ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้หลงเหลือคนไว้ แทบจะนำกำลังพลของฝ่ายตนเองออกมาใช้ทั้งหมด ดังนั้นการกลับค่ายครั้งนี้ ภายในจึงแผ่บรรยากาศเงียบเชียบวังเวงเป็นอย่างมาก เหลือเพียงทหารจำนวนไม่กี่คนเดินลาดตระเวนเป็นบางครั้งบางคราวอยู่รอบๆ กระโจมเท่านั้น
ฉู่สวินหยางอ้อมลัดเลาะตามกระโจมอย่างชำนาญทางดี เข้าไปในกระโจมหลังหนึ่งที่ถูกกั้นไว้กับกระโจมทั้งสาม
“ท่านหญิง!” เจี๋ยหงเห็นนางกลับมา ก็รีบหยัดกายเดินเข้าไปหาด้วยความยินดี
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองไปทางด้านหลังนาง
องค์ชายหกหนานฮวาได้ฟื้นคืนสติแล้ว ถูกมัดสองมือไพล่หลังโยนอยู่บนเตียง
ตอนเย็นนั้นถูกคนวิ่งแบกอย่างทุลักทุเล เวลานี้ทั่วทั้งตัวของเขาจึงไม่น่ามองอยู่บ้าง ดวงตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาสะอาดหมดจดคนหนึ่ง ทว่าเมื่อมองในยามนี้…
แม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่ได้ถูกทำลาย ทว่าแววตานั้นกลับเผยท่าทีมืดมนและอำมหิต ดูแล้วกลับปรากฏความดุร้ายอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าให้คนลักพาตัวข้ามาถึงที่นี่งั้นรึ?” องค์ชายหกตะคอกเสียงดังด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ก่อนหน้านี้เขาก็คงจะตะเบ็งเสียงใส่เจี๋ยหงไปไม่น้อย เวลานี้น้ำเสียงจึงดูแหบแห้งเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่ได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายหูไปตามๆ กัน
ฉู่สวินหยางเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เบนสายตาออกไปกล่าวกับเจี๋ยหง “ทางด้านเฉี่ยนลวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นปัญหามากเจ้าค่ะ เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อยเท่านั้น บ่าวนำยาไปให้นางแล้ว หากบำรุงรักษาสักระยะหนึ่งก็สามารถหายเป็นปกติได้แล้วเจ้าค่ะ” เจี๋ยหงกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมจัดของเถิด อย่างเร็วที่สุดก็พรุ่งนี้ อย่างช้าที่สุดก็วันมะรืน พวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงกัน” ฉู่สวินหยางกล่าว
“หา?” เจี๋ยหงเมื่อได้ฟังเช่นนั้นกลับตกตะลึงไป หันหน้าไปมองนางโดยพลันอย่างยากที่จะเชื่อ…
อย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าฉู่สวินหยางจะพูดเรื่องการกลับเมืองหลวงด้วยอาการที่ดีอกดีใจขนาดนี้
แววตาที่มองมานี้ดูเหมือนจะแสดงอาการออกมาเกินไป ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนั้น ในดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ไม่นาน นางก็เบนสายตาไปอีกครั้ง มองไปทางมุมนั้น ที่มีองค์ชายหกจ้องมองนางอย่างเขม็งด้วยความโกรธ “นำตัวเขาไปด้วย หากไม่ไหวจริงๆ…ก็จับกรอกยาเสีย!”
พูดจบก็คร้านที่จะมองไปที่คนผู้นั้น จึงหมุนกายเดินออกไปทันที
ฉู่สวินหยางไม่ได้รั้งรอฉู่ฉีเฟิงกลับมายังค่ายทหาร
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนที่รอบคอบและน่านับถือ การจัดการภารกิจทางทหารจึงนับว่าไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
นางเดินออกมาจากกระโจม เมื่อแน่ใจว่าภายในค่ายไม่มีปัญหาอันใด ฉู่สวินหยางก็บอกผู้ติดตามให้แยกย้ายกันไป ออกจากค่ายไปด้วยตัวคนเดียว ควบม้าไปยังหุบเขาเพลิงอัคคี
ยามนี้ยังไม่ข้ามเดือนเจ็ด ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นบนนภา สาดส่องลงมาสะท้อนกับต้นอ้อสองข้างทางที่ซ้อนทับละลานตา จนเปล่งเป็นแสงระยิบระยับ เวลานี้ต้นอ้อค่อยๆ เริ่มแตกรวงออกมา จึงยังไม่มีเกสรปลิวว่อน สองข้างทางล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวขจี ดูน่ารื่นรมย์
ฉู่สวินหยางควบม้ามองตรงไปยังทางด้านหน้า ยังคงเดินทางมาจากเส้นทางด้านตะวันตกเข้าสู่หุบเขา
อากาศภายในหุบเขาอัคคีเพลิงนั้นแตกต่างกับด้านนอก ในหนึ่งปีมีสี่ฤดูแต่คล้ายกับจะมีฤดูเดียวเท่านั้น แทบจะมองดูการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลไม่ออกโดยสิ้นเชิง ดังนั้นตลอดการเดินทางก็ล้วนแต่ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง…
ราวกับกาลเวลาไม่ได้เคลื่อนผ่านไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาล้วนคล้ายเป็นภาพในห้วงความทรงจำ ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่าน…
บางที…
นางอาจจะผ่านทางนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง!
บางที…
ธารน้ำตกที่ไหลลงอยู่เบื้องหน้า ยามที่เดินผ่านดอกวิสทีเรียที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนไปนั้น เงยหน้ามองไปก็อาจจะพบภาพชายหนุ่มยืนถือขลุ่ยเล่มเก่าท่ามกลางใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นด้วยท่าทางสง่างาม
หลังจากนั้นยามที่เขาทอดสายตามองมา ก็จะเม้มริมฝีปาก มองนางอย่างเก็บอาการและเรียบนิ่ง
—————————