สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 7.2 หญิงคบชู้ (2)
จางอวิ๋นอี้เข้ามาในจวนแล้ว เขาผ่านเรือนด้านหน้าแล้วเลี้ยวเข้าไปในสวนดอกไม้ด้านหลัง เดินไปเรือนตะวันตกที่ฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นเจี่ยนอาศัยอยู่อย่างเร่งรีบ
บ่าวของเขาวิ่งเหยาะๆ ตามมาข้างหลัง แค่มองก็เข้าใจและตกใจจนเหงื่อตกไปทันที จึงรีบวิ่งเข้าไปรั้งเขาไว้ว่า “ซื่อจื่อ ดึกมากแล้ว กลับไปพักดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปเข้าเฝ้าแต่เช้าอีกนะขอรับ!”
จางอวิ๋นอี้คิดแต่เรื่องที่ฉู่หลิงอวิ้นโดนรังแกจึงจะปัดมือเขาออก แต่พอเห็นสีหน้าร้อนรนของเขาก็ชะงักไป เหมือนถูกคนสาดน้ำเย็นใส่กะละมังหนึ่งและได้สติกลับมาในชั่วพริบตา
ใช่แล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืน ถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา เขาไปหาแบบนี้ก็ไม่เหมาะสม
“ซื่อจื่อ กลับเถอะขอรับ!” บ่าวของเขานั้นกลัวแต่เขาจะคิดไม่ตก จึงรีบเตือนไม่หยุดว่า “ในเมื่อท่านหญิงกลับมาแล้วก็คงไม่เป็นไรแล้วขอรับ ถ้าซื่อจื่อไม่วางใจ พรุ่งนี้ค่อยให้ฮูหยินไปดูแต่เช้าก็ได้ แต่ยามนี้ดึกมากแล้วขอรับ!”
สองสามวันมานี้ ฉู่หลิงอวิ้นกับจางอวิ๋นอี้ ‘บังเอิญเจอกัน’ ทั้งในและนอกจวนหลายครั้ง ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายต่างทักทายกันอย่างสุภาพ แต่บ่าวของจางอวิ๋นอี้ติดตามเขามาตั้งแต่เล็ก จะไม่รู้ความเจ้าเล่ห์ของเจ้านายตนเองได้อย่างไร?
ถึงชื่อเสียงเวลาอยู่ข้างนอกของจางอวิ๋นอี้จะพอใช้ได้ แต่ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว เขากับจางอวิ๋นเจี่ยนน้องชายของตนเองก็นิสัยแย่เหมือนกัน
เพียงแต่จางอวิ๋นเจี่ยนเป็นคนเหลวไหล ทั้งเที่ยวผู้หญิงและเจ้าชู้ไปทั่ว แต่จางอวิ๋นอี้เป็นซื่อจื่อของจวนติ้งเป่ยโหวยากที่จะหลีกเลี่ยงการควบคุมดูแลที่เข้มงวดมากกว่า ที่บ้านก็มีภรรยาหลายคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีหญิงงามรายล้อมรอบตัวอยู่เต็มบ้าน
เวลานี้เขากับฉู่หลิงอวิ้นดูภายนอกยังไม่มีอะไร แต่พอนานวันไป…
จางอวิ๋นเจี่ยนก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ฉู่หลิงอวิ้นที่เป็นฮูหยินสูงศักดิ์ จะอยู่กับเขาได้ทั้งชีวิตจริงๆ หรือ? แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้ให้ได้ หากท้ายที่สุดพัฒนาความสัมพันธ์กับจางอวิ๋นอี้ขึ้นมาได้ก่อนจริง…
บ่าวคิดแล้วก็เหงื่อตกเต็มหน้าผากและสั่นไปทั้งตัว
จางอวิ๋นอี้คิดแล้วก็สงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด แต่ยังอดหันไปมองเรือนตะวันตกอีกรอบไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาและเดินกลับเรือนของตนเอง “กลับเถอะ!”
บ่าวโล่งอก สบโอกาสรีบตามเข้าไปใกล้ว่า “ซื่อจื่อ คืนนี้ท่านจะไปนอนห้องอนุภรรยาคนไหนดีขอรับ?”
เรื่องผู้หญิง จางอวิ๋นอี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทว่าวันนี้กลับต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง เพียงกล่าวว่า “ให้คนเตรียมเหล้าและกับแกล้มไปส่งที่ห้องหนังสือ!”
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” บ่าวขานรับ เปลี่ยนใจตรงไปห้องหนังสือกลางคัน แต่ในใจกลับคิดวางแผนอื่น
จางอวิ๋นอี้กลับไปถึงห้องหนังสือด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ เลือกหนังสือออกมาจากชั้นหนังสือเล่มหนึ่ง เดิมทีคิดจะใช้วิธีนี้เบี่ยงเบนความสนใจ แต่สุดท้ายก็หยิบออกมาแล้วก็วางกลับไปที่เดิม เดินวนไปวนมาในห้องอย่างกระวนกระวายใจ
ดีที่บ่าวจัดการได้ไว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็สั่งให้คนยกเหล้าและกับแกล้มมา แล้วยังพาสาวใช้สองคนมาคอยปรนนิบัติอีกด้วย
วันนี้จางอวิ๋นอี้รู้สึกกลุ้มใจ จึงเอาแต่ดื่มเหล้าจอกแล้วจอกเล่า ไม่นานเหล้าสองไหเล็กก็ลงท้องไปหมด และเขาก็เริ่มเมาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงตะโกนทั้งที่ตาแดงว่า “เอาเหล้ามาอีก!”
“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ!” สาวใช้คนหนึ่งขานรับ แล้วผลักประตูรีบเดินออกไป
จางอวิ๋นอี้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าสู้ไม่ดีนัก ทันใดนั้นก็มีมือนุ่มคู่หนึ่งวางลงบนบ่าเขา แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปนวดขมับให้เขาอย่างอ่อนโยน พลางมีเสียงออดอ้อนของผู้หญิงเอ่ยว่า “ซื่อจื่อดื่มไปมากแล้ว ข้าจะช่วยนวดให้ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัวเจ้าค่ะ”
กลางดึกเงียบสงัด ร่างกายหญิงสาวสัมผัสบ่าเขาอย่างนุ่มนวล หมายความว่าอะไรทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ
สาวใช้คนนั้นหน้าตาสะสวย ทั้งยังเสนอตัวรับใช้เขาเอง จางอวิ๋นอี้ก็กำลังอยากระบายความร้อนรุ่มในร่างกายอยู่พอดี ในเมื่อต่างก็คิดเหมือนกันจึงดึงนางเข้าสู่อ้อมอกทันที
ทั้งสองคนเข้าสู่ห้วงอารมณ์อย่างรวดเร็ว ทว่าตอนที่กำลังเล้าโลมปลุกเร้าอารมณ์อยู่นั้นเอง พลันได้ยินเสียงสาวใช้ร้องไห้และก่นด่าเสียงดังมาจากข้างนอก “คิดว่าเป็นใครกัน ก็แค่คนใช้เท่านั้น ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ทันระวังไปชนนางเข้านิดเดียว แล้วอย่างไร? ยังไม่ยอมจบอีก!”
“เจ้าเบาเสียงหน่อย ระวังรบกวนซื่อจื่อ!” สาวใช้อีกคนก็จงใจเตือนเสียงดัง
“รังแกกันเกินไปแล้ว เจ้าดูหน้าข้าโดนข่วนเป็นรอยหมดแล้ว!” สาวใช้คนแรกกลับยังไม่ยอมหยุด และเอะอะโวยวายเสียงดัง “นางเป็นสาวใช้ของท่านหญิงแล้วอย่างไร? ที่นี่คือจวนติ้งเป่ยโหวของตระกูลจาง ใครจะยอมให้นางใช้อำนาจข่มเหงกัน? ข้าจะไปให้ซื่อจื่อตัดสินว่าใครผิดใครถูก…”
นางพูดไปก็เหมือนจะบุกเข้าไปข้างใน แต่กลับถูกอีกคนขวางไว้ เสียงเอะอะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนจางอวิ๋นอี้กับสาวใช้คนงามที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในห้องถูกรบกวนจนหมดอารมณ์ เขาผละจากนางไปสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด่าทออย่างเดือดดาลว่า “ดึกมากแล้วจะมาร้องหาอะไร? ยังไม่ให้คนมาลากตัวไปอีก!”
“ซื่อจื่อ!” สาวใช้คนที่ถูกทำร้ายก็อยู่เรือนของจางอวิ๋นอี้มาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ด้วยกันครั้งสองครั้ง จึงคิดไปเองว่าเขาจะเข้าข้าง นางคุกเข่าต่อหน้าเขาเสียงดังตุ้บ น้ำตายิ่งไหลพรากด้วยความดีใจว่า “ซื่อจื่อช่วยข้าด้วย เมื่อครู่ข้าไปหยิบเหล้าจากห้องครัวให้ท่าน ไม่ทันระวังชนจื่อซวี่สาวใช้ของท่านหญิงเข้านิดเดียว นางสารเลวนั่นก็ฉวยโอกาสรังแกข้า นางไม่เพียงแต่ตบตีข้า ยังข่วนหน้าข้าจนเจ็บด้วยเจ้าค่ะ!”
นางเอ่ยพลางเงยหน้ามองอย่างทั้งน้อยใจและไม่พอใจ ร้องไห้จนน้ำตาอาบหน้าแล้วชี้รอยเลือดตั้งแต่แก้มไปถึงหลังหู
จางอวิ๋นอี้เพิ่งจะโยนเรื่องฉู่หลิงอวิ้นทิ้งไปจากสมอง พอได้ยินก็รู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาอีกทันทีจึงถามว่า “ดึกดื่นเที่ยงคืน นางไปทำอะไรที่ห้องครัว?”
“ก็ไปหยิบเหล้าเหมือนกันเจ้าค่ะ!” สาวใช้ตอบ “ซื่อจื่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเจ้าคะ พวกนางอาศัยว่ามีท่านหญิงหนุนหลัง จึงข่มเหงกันเกินไปแล้ว!”
ดึกดื่นเที่ยงคืนจื่อซวี่ไปเอาเหล้าหรือ? หรือฉู่หลิงอวิ้นก็อารมณ์ไม่ค่อยดีจึงดื่มเหล้าคลายทุกข์เหมือนกันงั้นหรือ?
จางอวิ๋นอี้รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เพิ่งจะพยายามเลิกคิดได้ ผ่านไปครู่เดียวเรื่องก็กลับมาให้คิดอีกแล้ว
นางมัวแต่คร่ำครวญ จนไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไป เอาแต่สะอึกสะอื้นวิงวอนให้จางอวิ๋นอี้ให้ความเป็นธรรมกับนาง
เวลานี้จางอวิ๋นจี้จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปดูแลเอาใจใส่นาง พลันทำหน้าเย็นชาและเอ่ยเสียงดังว่า “เข้ามา เอาตัวบ่าวชั้นต่ำที่ไม่ดูตาม้าตาเรือนี่ไปให้พ้นหน้าข้า!”
นางตกใจจนนิ่งอึ้งไปทันที…
นี่ไม่เหมือนท่าทียามปกติของซื่อจื่อจวนนี้
ยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็มียามรักษาการณ์สองคนพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ปิดปากนางแล้วหิ้วตัวออกไป
สาวใช้ที่เมื่อก่อนเคยอยู่ด้วยกันในเรือนนี้ตกใจจนแทบไม่กล้าหายใจ จึงแอบหนีไปอย่างเร่งรีบแล้ว
จางอวิ๋นอี้ยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนยากที่จะเดาใจ นิ้วมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อก็กำและคลายหลายครั้ง
สาวใช้คนงามรออยู่ในห้องนานแล้วไม่เห็นเขาเข้าไปสักที ก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ เดินออกมาอย่างอ่อนช้อย เข้าไปโอบแขนเขาเบาๆ แล้วเรียกเสียงอ่อนหวานว่า “ซื่อจื่อ…”
จางอวิ๋นอี้หันกลับไปมองเรือนร่างอันเย้ายวนใต้เสื้อผ้าของนาง เปลวไฟเพิ่งจะจุดติดขึ้นในดวงตา ทว่าทันใดนั้นก็คิดถึงใบหน้าอันงดงามของฉู่หลิงอวิ้นขึ้นมาอีก ดังนั้นต่อให้สาวใช้คนนี้จะสวยแค่ไหนก็กระตุ้นอารมณ์ของเขาไม่ได้
“ไสหัวไป!” เขาโบกมือไล่
นางถูกเขาผลักล้มลงพื้นอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เปิดเผยเรือนกายขาวผ่องใต้เงาโคมไฟ นัยน์ตายิ่งทอประกายความน้อยใจและน้ำตาคลอเบ้า “ซื่อจื่อ…”
“ไสหัวไป!” จางอวิ๋นอี้ตัดสินใจได้แล้วจริงๆ เขาดุด่าอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา
พอเห็นเขาเอาจริงก็ไม่กล้ากวนใจ นางกัดฟันรีบเก็บเสื้อผ้ามากอดไว้แล้วถอยออกไป
จางอวิ๋นอี้กลับไปข้างโต๊ะ อยากจะดื่มเหล้าดับความอัดอั้นตันใจ แต่พอยกจอกเหล้าขึ้นดื่มถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาดื่มเหล้าพวกนั้นหมดไปตั้งนานแล้ว
โมโหแต่ไม่ได้ระบาย เขาเดินงุ่นง่านอยู่ในห้องไปสองรอบ และด้วยฤทธิ์เมาจึงทำให้สมองที่ตีกันสับสนวุ่นวายนั้นมีใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นที่สวยสดงดงามยิ่งนักปรากฏขึ้นมาไม่หยุด
เดินวนไปสองรอบ สุดท้ายเขาก็ยังข่มอารมณ์ไม่ได้ จึงผลักประตูเดินออกไปข้างนอก
ทีแรกบ่าวของเขากลับไปนอนแล้ว แต่พอได้ยินว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น ก็รีบคลุมเสื้อผ้าแล้วตามมาอย่างไว และเจอเขาออกมานอกเรือนเข้าพอดี
“ซื่อจื่อ? ดึกดื่นเที่ยงคืน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?” บ่าวเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจ แต่ในใจก็พอเดาได้
ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจเลือกสาวใช้หน้าตาสะสวยมาก็เพื่อให้จางอวิ๋นอี้ได้ระบายอารมณ์และเบี่ยงเบนความสนใจไปด้วย นึกไม่ถึงว่าจะทำไม่สำเร็จ
เวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ หากจางอวิ๋นอี้ไปหาฉู่หลิงอวิ้น จะเกิดอะไรขึ้นเล่า?
“ข้าจะออกไปเดินสักหน่อย!” จางอวิ๋นอี้ตอบ โดยไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
————————————-