สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 7.3 หญิงคบชู้ (3)
พอเขาหนีหน้า บ่าวก็รีบตามมาอีกและพยายามเกลี้ยกล่อมต่อด้วยความหวังดีว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักก่อนเถิดขอรับ!”
“บ่นอะไร? เจ้าไม่ต้องตามมา ไสหัวไป!” จางอวิ๋นอี้เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วสาวเท้าไปทางสวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว
เวลานี้ซื่อจื่อเสียสติไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะชมชอบน้องสะใภ้ของตนเอง ถ้าปล่อยไปแบบนี้ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่!
หากเจ้านายก่อเรื่อง บ่าวที่คอยรับใช้ก็ต้องโดนหางเลขไปด้วย เช่นนั้นบ่าวจะกล้าให้เขาก่อเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร ลังเลอยู่นานก็ค่อยๆ วิ่งตามไป
จางอวิ๋นอี้กำลังเมาได้ที่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะฟังเขา ทั้งยังเอ่ยอย่างอารมณ์เสียและโมโหว่า “บอกแล้วว่าเจ้าไม่ต้องตาม…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ได้กลิ่นเหล้าลอยตลบอบอวลในอากาศ เห็นเงาคนขยับไปมาในศาลาที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล บางครั้งก็มีเสียงพูดเบาๆ ปะปนมาด้วย
สองคนหันไปมองตามเสียง จางอวิ๋นอี้ก็สร่างเมาในทันใด ทิ้งบ่าวเอาไว้อย่างไม่สนใจไยดีและเดินไปอย่างรวดเร็ว
ณ ศาลานั้นฉู่หลิงอวิ้นถือจอกเหล้าอยู่ในมือ และกำลังรินเหล้าให้ตนเองดื่มด้วยสีหน้ากลุ้มใจ เวลานั้นนางดื่มไปมากแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียกของนางซบอยู่บนโต๊ะหินครึ่งหนึ่ง รินเหล้าในตนเองจอกหนึ่งแล้วเทกรอกปาก
จื่อซวี่เตือนอยู่ข้างๆ อย่างร้อนใจว่า “ท่านหญิง อย่าดื่มเลยเจ้าค่ะ ทำร้ายตนเองแบบนี้ทำไมเจ้าคะ? หากท่านดื่มจนร่างกายแย่จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า!” ฉู่หลิงอวิ้นปัดมือนางออก ฝืนยิ้มเยาะถือจอกเหล้าไว้ “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ามายุ่งกับข้า!”
“ท่านหญิง…” เสียงจื่อซวี่ปนสะอื้น พอเห็นว่าเตือนแล้วนางไม่ฟังจึงลองแย่งจอกเหล้าจากมืออีกข้างของนางมากล่าวต่อว่า “ท่านดื่มไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ ดึกแล้ว ข้าจะประคองท่านกลับไป!”
“ไปให้พ้น!” ฉู่หลิงอวิ้นเหมือนถูกยั่วโมโห อยู่ดีๆ ก็เอ่ยเสียงดังต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง นางโซเซลุกขึ้นมาพร้อมกับผลักจื่อซวี่ไปในเวลาเดียวกัน
นางอยากจะออกไปเดินนอกศาลา แต่เมาจนเดินตุปัดตุเป๋ เดินสองก้าวก็เกือบสะดุดชายกระโปรงล้มลง
จื่อซวี่รีบวิ่งเข้าไปประคอง และยังเตือนอย่างน่าฟัง “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าท่านทุกข์ใจ แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ควรทรมานร่างกายตนเองเช่นนี้ นี่ถ้าหากพระชายารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะเสียใจขนาดไหนนะเจ้าคะ”
พอพูดถึงชายาจวนอ๋องหนานเหอ ฉู่หลิงอวิ้นก็ยิ่งเหมือนถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องเศร้า น้ำตาพลันไหลออกมา
สองนายบ่าวต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน จางอวิ๋นอี้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
พอเห็นท่าทางเมาจนเดินเป๋ของฉู่หลิงอวิ้นก็รีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เขาอยากจะยื่นมือไปช่วยพยุงอย่างลืมตัว แต่พอเห็นจื่อซวี่ขมวดคิ้วมองเขาอย่างระวังตัว ก็พลันรู้สึกตัวว่าไม่เหมาะสม จึงหดมือกลับไปอีกอย่างหน้าเสีย
“ซื่อจื่อเองหรือ!” ฉู่หลิงอวิ้นรีบเช็ดน้ำตา เพราะไม่อยากให้เขาเห็น แล้วหันไปค้ำโต๊ะหินและนั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง นางไม่ทักทายเขาสักคำ มัวแต่หยิบจอกเหล้าจะรินเหล้าให้ตนเองอีก
“ท่านหญิง…” จื่อซวี่ตกใจ แล้วรีบเข้าไปขวางนางอีก
ฉู่หลิงอวิ้นฟังนางอ้างนู่นอ้างนี่จนเริ่มหงุดหงิด จึงขว้างจอกเหล้าในมือทิ้งจนตกแตกบนพื้นเสียงดังเพล้ง แล้วถามอย่างโมโหว่า “เจ้าก็บังคับข้าหรือ? แค่ข้าจะดื่มเหล้าสักจอกก็ไม่ได้เชียวหรือ? พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”
จื่อซวี่ถูกนางตวาดให้หยุด ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครแล้วจึงเดินมาหยุดต่อหน้าจางอวิ๋นอี้ และคุกเข่าขอร้องว่า “ซื่อจื่อ ท่านช่วยเตือนท่านหญิงหน่อยเถอะ นางเป็นแบบนี้…ข้าเป็นห่วงจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ส่วนฉู่หลิงอวิ้นหัวเราะเยาะแล้วก็เริ่มรินเหล้าให้ตนเองดื่มอีก
จางอวิ๋นอี้ขมวดคิ้วมองแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา จึงตำหนิจื่อซวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่? แต่ใครทำให้นางไม่สบายใจ? แล้วทำไมพวกเจ้าไม่รู้จักเตือนสักหน่อย?”
“ถ้าไม่เพราะท่านหญิงสวินหยาง…” จื่อซวี่เอ่ย นัยน์ตาทอประกายความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง “รู้ดีว่าท่านหญิงของข้าทุกข์ใจ แต่นางยังจะพูดแทงใจดำต่อหน้าคนอื่นอีก!”
นางพูดไปแล้วก็เหมือนคิดได้ว่าอย่างไรจางอวิ๋นเจี่ยนกับจางอวิ๋นอี้ก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน จึงรีบหยุดปากและเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ซื่อจื่อ…ข้าไม่ได้…ข้า…ข้า…”
จางอวิ๋นอี้สนใจเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน เขาคิดแต่จะช่วยคลายทุกข์ให้ฉู่หลิงอวิ้นเท่านั้น จึงโบกมือว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ!”
แล้วเขาก็หันตัวเดินไป ถอนหายใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หินข้างฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องทำร้ายตนเองเช่นนี้…”
ฉู่หลิงอวิ้นมองเขาอย่างเมาสะลืมสะลือ นางยิ้มขมขื่นอีกครั้ง แล้วเหลือบไปมองด้านข้าง “ข้าก็ดื่มแค่จอกสองจอก ทำไมพวกเจ้าจะต้องเครียดขนาดนั้นด้วยเล่า?”
นางพูดไปก็คว้าจอกเหล้าว่า “อยากจะดื่มด้วยกันสักจอกหรือไม่?”
จางอวิ๋นอี้ก็ไม่รู้ว่าจะเตือนนางเช่นไรเหมือนกัน อย่างไรจางอวิ๋นเจี่ยนก็เป็นน้องชายของเขา เรื่องบางเรื่องจึงพูดไม่ได้ แต่เห็นฉู่หลิงอวิ้นเป็นแบบนี้ เขากลับรู้สึกสงสารขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะสองสามวันมานี้ที่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วเขาก็แอบชอบนางอยู่แล้วด้วย
เมื่อก่อน ด้วยฐานะของทั้งสองฝ่ายทำให้จำเป็นต้องคอยหลบเลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตาจากคนอื่น ทว่าเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ได้โอกาสตอนฉู่หลิงอวิ้นเมาเหล้าอีกพอดี เขาก็อยากจะลองดู พอตัดสินใจได้แล้วก็รับจอกเหล้ามารินเหล้าให้ตนเองเหมือนกัน
จื่อซวี่เห็นแล้วร้อนใจก็รีบเข้าไปว่า “ซื่อจื่อ ท่าน…”
“ท่านหญิงอารมณ์ไม่ดี เตือนอย่างไรก็ไม่ฟังอีก ก็ปล่อยให้นางดื่มไปเถอะ เดี๋ยวกลับไปนอนพอตื่นมาก็ไม่เป็นไรแล้ว” จางอวิ๋นอี้เอ่ย เห็นเหล้าในจอกนั้นเหลือไม่มากแล้ว จึงสั่งบ่าวที่ยืนอยู่นอกศาลาอย่างกระวนกระวายใจว่า “ไปเอาเหล้ามาอีกสองไห!”
บ่าวเห็นเขากับฉู่หลิงอวิ้นนั่งด้วยกัน ก็หน้าดำคร่ำเครียด เวลานี้ไม่อยากได้ยินเขาสั่งให้ไปไหนทั้งนั้น แต่ก็รู้ดีว่าขัดใจเขาไม่ได้ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แล้วสุดท้ายก็ออกไป…
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฉวยโอกาสกำจัดคนออกไปจากสวนดอกไม้นี้ ถึงแม้จะแค่ดื่มเหล้าก็จะไม่ให้คนมาคอยจับจุดอ่อนอยู่ข้างๆ ได้
จื่อซวี่เชื่อคำพูดของจางอวิ๋นอี้ จึงปล่อยให้สองคนรินเหล้าให้แก่กัน และดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง
ในที่สุดฉู่หลิงอวิ้นก็ซบหน้าลงบนโต๊ะ แล้วร้องไห้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเซื่องซึม
“ท่านหญิง…” จางอวิ๋นอี้ว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที เขาเอื้อมมือไปเช็ดหางตานาง
ฉู่หลิงอวิ้นเมามาก จนไม่รู้ว่าเห็นเขาเป็นใครถึงได้ดึงแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย น้ำตายิ่งไหลพราก ปากพึมพำฟังไม่ค่อยชัด “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา…ไม่เชื่อ…”
ฉู่หลิงอวิ้นร้องไห้เสียใจ จางอวิ๋นอี้เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกใจอ่อนยวบมากขึ้นไปอีก ทั้งปวดใจทั้งสงสารจนแทบทำอะไรไม่ถูก
จื่อซวี่เห็นสองคนท่าทางเกินเลยจึงรีบเข้าไปแยก นางลองประคองฉู่หลิงอวิ้น พร้อมทั้งบอกจางอวิ๋นอี้อย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณซื่อจื่อมากที่ช่วยข้าเตือนท่านหญิง แต่ท่านหญิงเมาแล้ว ข้าจะพยุงนางกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงอวิ้นเมาหนัก จื่อซวี่ก็รูปร่างบอบบาง แค่ประคองตัวนางขึ้นมาได้ สองคนก็แทบเซไปพร้อมกัน จนเกือบจะล้มลงบนพื้น
และพอดีว่า…
จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างหลังก็ถูกลากติดมาด้วย…
ฉู่หลิงอวิ้นยังจับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ
จื่อซวี่สีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ว่าจะเตือนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทั้งสามคนจึงยังติดอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางประหลาด
จื่อซวี่อยากไปเรียกคนมาช่วย แต่ก็ไม่กล้าทิ้งฉู่หลิงอวิ้นไว้คนเดียวอีก นางลำบากใจมากจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ในวันที่อากาศหนาวเหน็บ อากาศช่วงกลางคืนยิ่งหนาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังเที่ยงคืน ถึงแม้จะดื่มเหล้าไปไม่น้อย แต่พอมีสายลมพัดผ่าน ทั้งสองคนต่างก็หนาวจนขนลุกไปทั้งตัว
จางอวิ๋นอี้ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็สูดหายใจแล้วเสนอว่า “พวกเจ้าเดินไปแบบนี้ไม่ไหวหรอก ตอนนี้คนรับใช้ก็นอนหมดแล้ว ให้ข้าไปส่งท่านหญิงเถอะ!”
“เอ่อ…” จื่อซวี่มีสีหน้าลำบากใจ สองจิตสองใจไม่ยอมตอบรับ
จางอวิ๋นอี้เห็นฉู่หลิงอวิ้นยืนโงนเงนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ย “เวลานี้ไม่มีใครเดินผ่านสวนดอกไม้แล้ว แล้วก็เดินไปไม่ไกลนัก ข้าแค่ส่งท่านหญิงกลับไป…”
แต่จื่อซวี่ยังไม่ยอมอยู่ดี นางลังเลอยู่อีกครู่ใหญ่ จนท้ายที่สุดก็รอช้าไม่ได้แล้วจริงๆ จึงพยักหน้าว่า “ได้เจ้าค่ะ!”
เห็นฉู่หลิงอวิ้นเมาและหน้าแดงด้วยฤทธิ์เหล้าจนดูสวยเป็นพิเศษ หัวใจของจางอวิ๋นอี้แทบจะกระโดดออกมาจากอก เขารีบสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และปกปิดความรู้สึกเอาไว้ในใจ แล้วอุ้มฉู่หลิงอวิ้นขึ้นมาและเดินไปทางเรือนตะวันตก
บ่าวของเขาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
จื่อซวี่นำทางพาทั้งสองคนกลับที่พักของฉู่หลิงอวิ้นด้วยกัน
ตลอดทางราบรื่นมาก ไม่ว่าจะที่สวนดอกไม้หรือเรือนของฉู่หลิงอวิ้น คนรับใช้ก็นอนหมดแล้ว และไม่มีใครตกใจตื่นขึ้นมาเลย
จื่อซวี่นำทางจางอวิ๋นอี้ไป แต่เพราะว่าเขาไม่สะดวกเข้าออกห้องนอนของฉู่หลิงอวิ้น จึงพาไปยังห้องอุ่นที่อยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก่อน
“วันนี้ขอบคุณซื่อจื่อจริงๆ เจ้าค่ะ” พอนำทางจางอวิ๋นอี้มาถึงห้องโถงแล้ว จื่อซวี่ก็เอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เห็นตัวจางอวิ๋นอี้ก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าเหมือนกันจึงเอ่ยว่า “วันนี้ท่านหญิงอารมณ์ไม่ดี ข้าจึงอุ่นน้ำแกงสร่างเมาบนเตาในห้องข้างๆ เตรียมไว้ให้นางก่อนแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปตักมา ซื่อจื่อก็ดื่มสักถ้วยแล้วค่อยไปเถอะเจ้าค่ะ!”
———————————–