สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 7.4 หญิงคบชู้ (4)
จางอวิ๋นอี้ก็ไม่รู้ว่าตนเองอยากทำอะไรต่อเช่นกัน ถึงอย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา และยังมีฐานะเป็นท่านหญิงด้วย หากเป็นสาวใช้ทั่วไป ในเมื่อเขาชอบพอจะใช้กำลังแย่งมาอย่างไรก็ได้ แต่กับฉู่หลิงอวิ้น…
เขากล้าคิด แต่ไม่กล้าทำ
ยากที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดนางสักครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร
ตอนที่เขากำลังรู้สึกหดหู่อยู่นั้นเอง พอจื่อซวี่พูดขึ้นมาจึงตอบรับไปแบบไม่รู้ตัว โดยเอ่ยอย่างใจลอยว่า “ได้!”
จื่อซวี่ถอยออกไป เพียงชั่วครู่ก็ถือถาดที่มียาต้มวางอยู่สองถ้วยเข้ามา นางวางถ้วยหนึ่งไว้ให้จางอวิ๋นอี้ แล้วยกอีกถ้วยเข้าไปให้ฉู่หลิงอวิ้น
จางอวิ๋นอี้ก็ไม่ได้ดูให้ละเอียด แค่ดื่มน้ำแกงสร่างเมาถ้วยนั้นไป
จื่อซวี่เข้าไปครู่หนึ่งก็ออกมาใหม่ นางค้อมศีรษะให้เขาแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ซื่อจื่อ ท่านหญิงหลับไปแล้ว และนี่ก็ดึกมาแล้ว ข้าไปส่งท่านนะเจ้าคะ?”
“โอ้ ได้สิ!” จางอวิ๋นอี้ตอบรับทันที ตอนที่วางถ้วยแกงลงแล้วลุกขึ้น เหมือนมีความรู้สึกผิดหวังอันหนักหน่วงเอ่อล้นขึ้นมาในใจ แต่ทำได้เพียงเดินตามนางออกไป
จื่อซวี่ส่งเขาแค่ที่ลานบ้านเท่านั้น แล้วก็อ้างว่าฉู่หลิงอวิ้นต้องการคนอยู่ด้วยจึงต้องกลับไป
“อือ!” จางอวิ๋นอี้พยักหน้าเหมือนผิดหวัง “ไปเถอะ ดูแลท่านหญิงให้ดี!”
“เจ้าค่ะ ข้าจะดูแลให้ดี” จื่อซวี่ตอบ แต่นัยน์ตากลับฉายแววกังวลเพียงชั่วพริบตา แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พอเข้าไปในห้องอุ่น กลับเห็นฉู่หลิงอวิ้นลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว นอกจากหน้าที่แดงเล็กน้อยแล้ว สายตาก็ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่หลงเหลืออาการเมาแม้แต่น้อย
จื่อซวี่รู้ดีและไม่รู้สึกประหลาดใจสักนิด
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถาม
“ถือว่าราบรื่นดีเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่ตอบ ความกังวลฉายอยู่บนใบหน้าอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้อีกแล้ว นางหันกลับไปมองทางประตูแล้วกดเสียงต่ำว่า “ท่านหญิง จะทำแบบนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ? ท่านไม่ลองคิดดูอีกสักนิดหรือ? ถึงคุณชายจะไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ซื่อจื่อก็…ถึงตอนนั้นถ้าถูกเขาจับได้ ข้ากลัวว่าท่านหญิงจะเสียใจ!”
“เสียใจหรือ? อย่างเขาจะทำให้ข้าเสียใจได้เชียวหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา แล้วหยิบถ้วยมารินน้ำให้ตนเอง
“หือ?” จื่อซวี่อึ้งไป แล้วมองนางอย่างหวาดระแวง “ท่านหญิง ท่านไม่ได้…ท่าน…”
“ก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น พอพูดออกมาหมด รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความโหดเหี้ยมและเย็นชาแทน
จื่อซวี่ใจกระตุกไปชั่ววูบ เพียงครู่เดียวก็เริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่นางพูดทั้งหมด ทว่ายังเผลอถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว
“กลัวอะไร?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม แล้วมองข้ามนางไปทางประตูที่อยู่ด้านหลังนางว่า “ถึงอย่างไรข้าไม่มีทางเสียใจ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
เวลานี้หากจื่อซวี่ยังไม่เข้าใจความหมายของนางอีกก็คงโง่เต็มทีแล้วจริงๆ
“ท่านหญิง!” จื่อซวี่หน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา นางคุกเข่าน้ำตาคลอ แล้วเอื้อมมือไปจับชายกระโปรงของนางไว้และขอร้องว่า “ท่านหญิง ข้าติดตามท่านมาหกปี ตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ท่าน ทำงานให้ท่านได้ดีมาตลอด ท่านเคยรับปากข้าไว้ว่าอีกสองปีจะปล่อยให้ข้าไปแต่งงาน ท่านหญิง…ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“เรื่องที่ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ ข้าไม่คืนคำแน่นอน แต่มันคนละเรื่องกับตอนนี้!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย นางเลิกคิ้วแล้วมองถ้วยยาที่วางอยู่ใกล้มือว่า “ถ้ากลัวทำได้ไม่ดีก็ดื่มยานี้ซะ!”
จื่อซวี่ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี นางตัวสั่นหมดไปทั้งตัว
ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่รีบร้อน และแค่อมยิ้มมองนางเท่านั้น
ไม่มีใครรู้นิสัยนางดีไปกว่าจื่อซวี่ หากตอนนี้ไม่เชื่อฟังนางก็หนีรอดไปได้แค่ครั้งนี้ แต่หลังจากนี้จะต้องตายอนาถกว่าเดิม
จื่อซวี่คิดในใจอย่างรวดเร็ว นางน้ำตาไหลอาบแก้ม สุดท้ายก็ยื่นมือสั่นๆ ออกมาอย่างรู้ว่าควรจะทำอะไร และหยิบยาถ้วยนั้นไป
มือนางสั่นรัว แต่กลับพยายามฝืนให้นิ่ง ไม่กล้าทำให้ยานั้นหกออกมา ระหว่างดื่มยานั้นก็เหลือบหางตามองหน้าฉู่หลิงอวิ้นตลอด หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ เพียงแต่สุดท้ายผลก็เหมือนเดิมอย่างที่คิดไว้
จื่อซวี่กลืนยาลงไปแล้วก็ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ความสิ้นหวังอัดแน่นเต็มหัวใจ นางถือถ้วยยายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วลงจากเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวออกมาให้นางเช็ดยาที่เลอะอยู่ตรงมุมปาก พลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทำงานให้ข้าให้เรียบร้อย แล้วข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี!”
นางยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่จื่อซวี่กลับเห็นแล้วเหงื่อตกไปทั้งตัว กัดฟันแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมา
หลังจากนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงพื้น แล้วแย่งถ้วยยาที่นางถือไว้แน่นไปจากมือ สายตาเย็นชาขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วขว้างถ้วยลงบนปลายเท้านางอย่างแรง
“อ๊า…” จื่อซวี่ร้องตกใจอย่างที่คิดไว้ และกระโดดสูงมาก
ฉู่หลิงอวิ้นดับโคมไฟสองดวงในห้องแล้วเดินออกไปทางประตูเล็กที่หลบซ่อนจากสายตาคนอยู่ข้างๆ ไปท่ามกลางความมืด
ด้านนอกนั้นจางอวิ๋นอี้ยังรีรอไม่อยากไป เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงลานบ้านอย่างเชื่องช้า พอได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจดังมาจากข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็เข้าใจว่าเป็นฉู่หลิงอวิ้นไปทันที
เขาตกใจจนรีบวิ่งกลับไปเดี๋ยวนั้น แล้วพุ่งกลับเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้ทันทีโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว
เวลานี้โคมไฟทั้งในและนอกห้องดับหมดแล้ว แสงจันทร์ด้านนอกก็สลัวมาก ใจเขาคิดถึงแต่ความปลอดภัยของฉู่หลิงอวิ้น จึงบุกเข้าไปในห้องอุ่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พร้อมทั้งถามอย่างร้อนใจว่า “ท่านหญิง? เกิดอะไรขึ้น? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ท่ามกลางความมืดนั้น จื่อซวี่ได้ยินเสียงเขา นางรู้สึกกลัวจนเผลอขยับถอยหลังไปเหยียบเศษถ้วยแตก เสียงไม่ดังมาก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจนในความมืด
จางอวิ๋นอี้ได้ยินเสียงจึงหันไปมอง
ตอนนี้เขาปรับสายตาให้ชินกับความมืดในห้องนี้ได้แล้ว จึงเห็นเงาร่างบอบบางพิงอยู่ข้างเตียงเตี้ยด้านในอย่างที่คิดไว้
เขารีบตามเข้าไป แต่แค่คิดจะขยับก็เหมือนเหยียบอะไรบางอย่างเข้าจึงลื่นล้ม สุดท้ายก็พากันล้มลงบนเตียงพอดี
จื่อซวี่ร้องเจ็บจนอยากจะผลักเขาออก แต่พอคิดถึงสีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นก่อนหน้านี้ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างเด็ดขาด และเอ่ยเรียกเสียงสั่น “ซื่อจื่อ…”
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? ข้าได้ยินเจ้าร้อง…” ร่างกายของหญิงสาวอยู่ในอ้อมกอด จางอวิ๋นอี้หายใจถี่กระชั้น ถามก็ถามแบบขอไปที ร่างกายเขาร้อนรุ่ม เขาสูดกลิ่นหอมตรงซอกคอของนาง เวลานี้หัวใจจึงเต้นแรงไม่หยุดจนไม่มีเวลาแยกแยะเสียงได้ชัดเจน
“ข้า…ไม่รู้!” จื่อซวี่ตอบ นางไม่กล้าพูดอะไรมากเช่นกัน กลัวแต่จะโดนจับได้
นางติดตามฉู่หลิงอวิ้นมาหลายปี ทุ่มเททำงานให้เจ้านายอย่างสุดหัวใจมาตลอด คิดแต่จะเก็บสะสมเงิน พอถึงเวลาก็หาผู้ชายที่ซื่อสัตย์และจริงใจสักคนใช้ชีวิตด้วยกัน หากนางมีใจคิดประจบประแจงเจ้านายจริง…
กับฉู่ฉีเหยียนนั้นนางไม่กล้าคิด แต่ก็คงหาโอกาสปีนเตียงฉู่อี้หมินไปตั้งนานแล้ว
ตอนนี้เห็นระยะเวลาที่ฉู่หลิงอวิ้นรับปากนางไว้อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับถูกสั่งให้ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้
ในใจจื่อซวี่ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งน้อยใจ น้ำตาไหลพรากออกมาทันที
เดิมทีจางอวิ๋นอี้ก็ไม่บริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว แล้วยังดื่มน้ำแกงสร่างเมาที่ใส่ยาถ้วยนั้นเข้าไปอีก สติของเขาบินหายไปหมดตั้งนานแล้ว ตอนแรกยังคิดถึงฐานะของฉู่หลิงอวิ้นจึงลองหยั่งเชิงสักเล็กน้อย พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะผลักเขาออกก็แอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่พอลองยื่นปากเข้าไปใกล้และสัมผัสได้ถึงน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาว ใจเขาก็สั่นอีกครู่หนึ่งและชะงักไปในทันที
แต่จื่อซวี่กลับรู้ดีว่าเวลานี้นางไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจยื่นแขนไปคล้องคอเขาไว้ แล้วยื่นหน้าไปเอ่ยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่ออย่าไป ข้า…ข้ากลัว!”
เพียงเท่านั้นสติที่เหลืออยู่ไม่มากอยู่แล้วของจางอวิ๋นอี้ก็พังทลายลง เขากดตัวนางลงบนเตียงอย่างอดกลั้นอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป
ตอนแรกจื่อซวี่ก็ยังไม่ยินยอม นางกัดฟันฝืนอดทนไว้ แต่พอยาออกฤทธิ์แล้วทั้งสองคนก็สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างเร่าร้อน
บ่าวของจางอวิ๋นอี้ไม่สามารถอยู่ในบริเวณบ้านของฉู่หลิงอวิ้นได้ตามใจชอบ จึงรออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวายอยู่นานมาก จนท้ายที่สุดก็กังวลคิดไม่ตกจริงๆ จึงแอบลัดเลาะเข้ามาอยู่ตรงด้านล่างเชิงกำแพง พอเขาได้ยินเสียงจากในห้อง ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนยวบเป็นอัมพาตไปตรงนั้นทันที
———————————-