สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 70.1 ข้ารู้มาโดยตลอด! (1)
“เรื่องทางหนานฮวา ท่านพี่จะจัดการอย่างไรหรือ?” สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามกักเก็บอารมณ์ที่พรั่งพรูไว้ภายในใจ ฉู่สวินหยางจึงค่อยกล่าวถามอย่างจริงจัง
“ข้าเขียนจดหมายไปแล้ว ให้คนนำไปเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นหนานฮวา อย่างที่เจ้าพูด ให้พวกเขานำเมืองในเขตฉางสุ่ยทั้งห้ามาแลกเปลี่ยน!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ขณะที่พูด แววตาก็สั่นไหวไปชั่วขณะ ทั้งยังแฝงความดุดันอย่างเข้มข้น
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ เดินเข้าไปลากม้าตนเองมา “เจี๋ยหง หากที่นั่นเตรียมการพร้อมแล้ว ข้าก็จะรีบกลับเมืองหลวงทันที ด้านนั้นมีฉู่ฉีเหยียนอยู่ อย่างไรข้าก็ไม่อาจวางใจได้ ท่านพี่ ส่วนด้านนี้…รอให้ทางหนานฮวาตอบกลับมา ค่อยว่ากันใหม่ดีหรือไม่?”
“ทหารนับแสนถูกโจมตี ส่วนแม่ทัพก็ถูกจับเป็นเชลย เรื่องเช่นนี้ หากจะพูดแล้วก็นับเป็นความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวง ยังมีเหตุอันใดที่ต้องพูดดีๆ ด้วยกันอีก? ” ฉู่ฉีเฟิงเค้นสียงในลำคอ พยุงนางขึ้นบนหลังม้า ตัวเขาก็หมุนกายปีนขึ้นม้าเช่นกัน สองพี่น้องมุ่งหน้าเดินทางกลับไปด้วยกัน
“ทางหนานฮวานั้น คาดว่าพวกเขาคงต้องทำเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมาแน่ นำเมืองมาแลกกับคนคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากมองจากสถานการณ์ปัจจุบัน ฮ่องเต้แคว้นหนานฮวาก็คงจะไม่กล้าตีรันฟันแทงไปสักพักใหญ่ ภายในปีนี้กองทัพของเขาก็เกิดเหตุร้ายติดต่อกันมาสองครั้ง แม่ทัพถูกสังหารถึงทั้งสองครั้ง ครั้งแรกเกี่ยวพันไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกง แทบที่จะหวังเอาชีวิตของหรงเสี่ยนหยาง ส่วนครั้งนี้ก็มีทั้งองค์รัชทายาทและองค์ชายหกมาข้องเกี่ยว แม้ว่าฮ่องเต้จะเลอะเลือนอย่างไร ก็ควรต้องฉุกคิดทบทวนต้นสายปลายเหตุของเรื่องพวกนี้แล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว แววตาดิ่งลึก มองไปยังเส้นทางด้านหน้าที่ทอดยาวไกลไม่สิ้นสุด “แปดถึงสิบส่วน พวกเขาย่อมต้องส่งสาสน์มาเจรจา ขอประนีประนอมให้ทิ้งเรื่องสงครามไปก่อน ยิ่งไปกว่านั้น…”
ขณะที่ฉู่ฉีเฟิงพูด ในแววตานั้นก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฟื้นคืนท่าทีเป็นอย่างเช่นเคย กล่าวด้วยท่าทีเรียบนิ่ง
“เหยียนหลิงจวินคงจะกลับราชสำนักแล้วใช่หรือไม่? หากพวกเขาพ่อลูกร่วมมือกันขึ้นมา แรงปะทะนั้น…ข้าเกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้หนานฮวาก็ยังจะไม่กล้าประมาท ถึงเวลานั้นเขายังมีจะใจคิดเรื่องรบ ทั้งสนใจเรื่องซุบซิบภายนอกได้อีกอย่างไร?”
พูดถึงเหยียนหลิงจวิน สีหน้าของฉู่สวินหยางก็ดูเฝื่อนลงในพริบตา เม้มริมฝีปากทั้งไม่กล่าวอันใด
ฉู่ฉีเฟิงเบนหน้ามองไปยังนาง ล้วนแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
“จริงสิ ภายในกองทัพของพวกเรา ฝ่ายที่จงรักภักดีต่อฮั่วกังพวกนั้น ทั้งปีที่ผ่านมายังมีพวกคนจำนวนหนึ่งที่ถูกฉู่ซิ่นโยกย้ายเข้ามาแทนที่ ท่ามกลางการโจมตีค่ายศัตรูอย่างดุเดือดเมื่อครู่ ล้วนถูกคนของเจ้าฉวยโอกาสตอนชุลมุนวุ่นวายกำจัดเสียสิ้นแล้ว” รวบรวมสติกลับคืนมา ฉู่ฉีเฟิงค่อยจงใจเปลี่ยนเรื่องพูด
“อืม!” ฉู่สวินหยางเวลานี้จึงค่อยกระปรี้ประเปร่าขึ้นมาบ้าง กล่าวด้วยยิ้มเย็น “โชคดีที่สองผู้นี้ล้วนเก็บซ่อนไว้อย่างดี มิเช่นนั้น หากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาทั้งสอง คนเหล่านั้นที่พวกเขาหลงเหลือไว้ก็คงจะต่อต้านแผนการของพวกเราตั้งนานแล้ว นี่นับว่าสะดวกต่อพวกเรา”
ใครก็คาดไม่ถึงว่าฮั่วกังและฉู่ซิ่นจะมีใจคิดไม่ซื่อ หลายปีมานี้ พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งคือแม่ทัพที่คอยบัญชาทหารอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายใดใด ทั้งยังจริงใจซื่อตรง ส่วนอีกคน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง มีใจเป็นกลาง เป็นท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่เป็นสองรองใครในราชสำนัก แต่ว่าทั้งสองคนสมคบคิดกัน จู่ๆ หากพูดออกไปเช่นนี้เกรงว่าไม่ว่าใครก็คงไม่อาจเชื่อ
ขณะที่นางคิด ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ใช้โอกาสในศึกใหญ่ครั้งนี้ประกาศศักดาของท่านพี่ภายในกองทัพ ก็เป็นโอกาสดีที่จะดึงพวกเขามาเป็นพวกเช่นกัน ตำแหน่งที่พร่องหายไปพวกนั้น ภายหลังจำต้องได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ผ่านราชสำนักจึงจะแล้วเสร็จไป เพียงแต่คาดว่า รอจนทางนั้นเลือกคนได้ ทั้งราชโองการส่งมาถึงเมืองฉู่ที่นี่ก็คงจะกินเวลาไปกว่าครึ่งเดือนท่านพี่จัดสรรคนไปแทนตำแหน่งพวกนั้นก่อนจะดีกว่า ช่วงเวลานี้ก็ค่อยๆ สาวตัวสายลับพวกนั้นขึ้นมา ถึงเวลานั้นแม้ว่าฝ่าบาทจะส่งแม่ทัพใหม่มาจากเมืองหลวงและให้คนพวกนั้นมารับช่วงต่อ…ขุนนางจากเมืองหลวงที่ไม่มีประสบการณ์ทั้งไม่มีฝีมือพวกนั้นจะทำประโยชน์อันใดได้? ก็แค่มาแทนที่ตำแหน่งให้เต็มเท่านั้น”
“อืม เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวล ก่อนที่ข้าจะออกมาก็นำรายชื่อที่ร่างไว้มอบให้เจิงจีไปจัดการแล้ว” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า มองเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทั้งสองคนก็รีบควบม้ากลับค่ายด้วยความรวดเร็ว
ชัยชนะครั้งใหญ่ของเมืองฉู่
เพียงคืนเดียว อาศัยโอกาสจากความสูญเสียเล็กน้อยนั้นโจมตีทัพศัตรูจำนวนแสนนาย ตัดคอผู้ที่ต่อต้านไปนับสองหมื่นคน และจับกุมเป็นเชลยไว้กว่าแปดหมื่นคน
ข่าวชัยชนะนี้ถูกม้าเร็วส่งกลับเมืองหลวงอย่างทันที เพื่อทูลรายงานต่อฮ่องเต้บนโต๊ะทรงอักษร
ประชาชานต่างก็ชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน พากันโห่ร้องอย่างดีใจ ทว่าในท้องพระโรง โอรสสวรรค์กลับเผยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่ากำลังอดกลั้นความโกรธเอาไว้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ศึกครั้งนี้ชนะ แต่เพราะว่า…
ครั้งนี้ฉู่ฉีเฟิงลงมืออย่างโหดเหี้ยมเกินไป อีกทั้งไม่หลงเหลือทางให้หนีแม้แต่น้อย ทั้งที่รู้ดีว่าหลายปีมานี้เขาและฮ่องเต้แคว้นหนานฮวา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้สงครามที่เมืองฉู่มาถ่วงดุลอำนาจเพื่อรักษาความสงบเท่านั้น และเป็นที่แน่ชัดว่า…
การกระทำครั้งนี้ของฉู่ฉีเฟิงได้ทำลายความสมดุลนี้ลงอย่างสิ้นเชิง
กองทัพนับแสนของหนานฮวาพังอย่างราบคาบ ไม่เพียงแต่เท่านี้ ยังนำตัวองค์ชายหกมาเป็นเชลยสินสงครามกลับเมืองหลวง
มองผิวเผินแล้ว คล้ายจะเป็นเรื่องยินดีที่ยากจะได้พบเรื่องหนึ่ง ทว่าปัญหาที่จะติดตามมาภายหลังย่อมต้องมีไม่น้อยและยิ่งไปกว่านั้นฉู่ฉีเฟิงยังตัดสินใจด้วยตัวเอง ส่งสาสน์ไปเสนอกับฮ่องเต้หนานฮวา เจรจาขอใช้เมืองในเขตฉางสุ่ยแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยขององค์ชายหกกลับแคว้น
ข้อเสนอเช่นนี้ เป็นการยั่วยุชาวหนานฮวาทั้งแคว้นเป็นอย่างมาก!
ต่อให้ฮ่องเต้หนานฮวาจะเป็นคนที่โอนอ่อนเพียงใด เกรงว่าก็คงจะไม่ยอมรับข้อเสนอนี้โดยง่ายแน่
พวกขุนนางก็ล้วนเป็นคนฉลาดหลักแหลม ฉู่ฉีเฟิงเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน แต่พวกเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น ด้านหนึ่งก็นึกชื่นชมด้วยความภาคภูมิใจว่า ‘คังจวิ้นอ๋องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นดั่งพรที่สวรรค์ประทานให้กับบ้านเมือง’ ด้านหนึ่งก็คิดหยั่งเชิง คอยมองดูสีหน้าฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวัง ไม่กล้ากล่าวแสดงความชื่นชมอันใด
ตั้งแต่เช้าตรู่
หลี่รุ่ยเสียงพยุงมือฮ่องเต้กลับห้องทรงอักษร หลังจากฮ่องเต้เข้าประตูไป ใบหหน้าก็ดำทะมึนลงทันที ตบลงไปบนโต๊ะฉาดใหญ่ ทั้งกล่าวระคนโมโห “ไม่รู้จักหนักเบา! ไม่รู้เรื่องรู้ความ! อ่านตำราพิชัยสงครามไม่กี่เล่มก็คิดว่าตนเองอยู่เหนือผู้ใดแล้ว? ไม่คิดรอบคอบสักนิด! ยามนี้เป่ยเจียงยังไม่สงบ ศึกทางใต้ก็เพิ่งจะยุติลง เวลานี้ประชาชนถูกข่าวดีทำให้เผอเรอไปชั่วครู่เท่านั้น ภายหลังหากพวกหนานฮวากลับมาล้างแค้น เช่นนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว!”
ฮ่องเต้ด่าด้วยตะโกนสุดเสียง เรื่องวันนี้เขากลับไม่เรียกกระทั่งฉู่อี้อัน
เขาจะพูดอะไรได้? ยามนั้นเดิมทีผู้ที่เรียกฉู่ฉีเฟิงไปเมืองฉู่ก็เป็นเขา อีกทั้งเรื่องราวทางด้านนี้เขาก็ยังไม่อาจจัดการออกมาอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้ ยามนี้ฉู่ฉีเฟิงอาจจะภาคภูมิใจกับชัยชนะ ทว่ากลับทำให้เขาอมทุกข์อย่างแท้จริง
“ฝ่าบาท เดิมทีคังจวิ้นอ๋องก็ขาดแคลนประสบการณ์อยู่บ้าง อีกทั้งหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านหญิงสวินหยางแล้ว เขาย่อมบันดาลโทสะเลือกวิธีสุดโต่งจึงทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้ อย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าท่านจะต่อว่าอันใดเขา ก็ล้วนไม่มีประโยชน์แล้ว เรื่องที่เร่งด่วนในเวลานี้…” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว เตือนอย่างระมัดระวัง “ได้ยินว่าสงครามครั้งนี้ทัพฝ่ายเราก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้งรุ่ยชินอ๋องก็ยังเกิดเรื่อง แม้แต่ตำแหน่งของแม่ทัพก็ยังว่างอยู่อย่างนั้น เช่นนั้นแล้วควรจะรีบไตร่ตรองส่งคนที่เหมาะสมไปที่นั่นนะพ่ะย่ะค่ะ!”
————————-